Selective Buy

Selective Buy

คาด SET อ่อนตัวทดสอบแนวรับ 1,325 – 1,330 จุดก่อนจะสลับดีดตัว จากความกังวลความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์

Set Indexร่วง 19 จุด (-1.38%) ปิดที่ระดับ 1,341 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท จากความกังวลความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐที่มากขึ้นหลังจีนสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตู่เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวส์ตัน รวมถึงผิดหวังตัวเลขส่งออกของไทยเดือน มิ.ย. หดตัว 23.17%yoy มากกว่าที่ Consensus คาดว่าจะหดตัว 15.5%yoy นอกจากนี้นักลงทุนยังชะลอการลงทุนก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว 4 วัน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,905 ล้านบาท  และ Net TFEX SET50  -3,055  สัญญา  และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 217 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบแนวรับ 1,325 – 1,330 จุดก่อนจะสลับดีดตัว จากความกังวลความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในประเด็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงยอดผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่ของสหรัฐที่ยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องราว 6 หมื่นราย/วัน ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีแรงซื้อในหุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัวหรือกลุ่มที่งบ 2Q20 เติบโตเข้ามาช่วยหนุนดัชนีให้รีบาวด์ขึ้นได้

** วันนี้ 29 ก.ค. ติดตามการประชุม FOMC ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0- 0.25% ต่อไป

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มอาหาร (CPF GFPT TU TFG ASIAN  และ กลุ่มอิเล็ค (KCE DELTA HANA SVI) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น (TOP PTTGC SPRC SCC BGRIM CKP CPF TU TASCO STA STGT SPALI AP PRM PTL AJ STARK CBG TQM)

หุ้นแนะนำวันนี้

  • JMT (ปิด 29.25 ซื้อ/เป้าสูงสุด IAA Consensus 30) ผลประกอบการ 2Q20 ยังมีลุ้นทำ All Time High ได้ต่อเนื่อง จากยอดเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัว และคาดกำไรสุทธิจะยังเพิ่มขึ้นอีกในครึ่งปีหลังเนื่องจากพอร์ตลูกหนี้บางส่วนตัดต้นทุนหมดแล้วทำให้ได้อัตรากำไรที่ค่อนข้างสูงขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจหดตัวยังเร่งให้สถาบันการเงินเร่งขาย NPLs มากขึ้นเป็นโอกาสของ JMT ในการเข้าซื้อ NPLs ในราคาที่ถูกลงเป็นบวกต่อผลประกอบการในระยะยาว
  • TASCO (ปิด 26.25 ซื้อ/เป้า สูงสุด IAA Consensus 32) เก็งกำไรงบ 2Q20 พลิกมีกำไร 1,400-1,500 ล้านบาทเทียบกับขาดทุนสุทธิ 784 ล้านบาทใน 1Q20 โดยมีแรงหนุนจากการบันทึกกลับ NRV ทั้งหมดหลังจากราคายางมะตอยกลับมาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 1Q20 และ 3Q20 ยังมี Sentiment บวกจากดีมานด์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากจีนหลังจากปีนี้จีนเกิดน้ำท่วมหนักส่งผลให้รัฐจำเป็นต้องเร่งซ่อมแซมถนนหนทาง (TASCO ส่งออกยางมะตอยไปจีนคิดเป็น 40%)

บทวิเคราะห์วันนี้

CENTEL (ปิด 22.4 อัพเกรดเป็นซื้อ/เป้า 26), GFPT (ปิด 13.5 ถือ/เป้า 12.4), IVL (ปิด 26.25 ซื้อ/เป้าใหม่ 35 เดิม 38)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) ดาวโจนส์ลดลง 205 จุด ผิดหวังตัวเลขความเชื่อมั่นสหรัฐ และ รอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 205 จุด (-0.77%) ปิดที่ระดับ 26,379 จุด เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังรายงานตัวเลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.ค.ซึ่งลดลงสู่ระดับ 92.6 ในเดือน ก.ค. จากระดับ 98.3 ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 94.5 นอกจากนี้นักลงทุนยังมีความกังวลว่าสภาคองเกรสจะอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่มูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญได้ทันก่อนที่มาตรการชุดเดิมจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 ก.ค.นี้หรือไม่หลังจากที่ สมาชิกของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตยังมีความเห็นขัดแย้งกัน โดยเฉพาะในประเด็นของวงเงินช่วยเหลือผู้ว่างงานโดยพรรคเดโมแครตต้องการให้รักษาวงเงินดังกล่าวเอาไว้ที่ระดับ 600 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ แต่พรรครีพับลิกันต้องการให้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 200 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์
  • (+/-) Fed meeting คงมุมมองเป็นกลางคาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ตามเดิม : คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐมีกำหนดประชุมเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงวันที่ 28-29 ก.ค. 2020 เรายังมั่นใจว่าเฟดจะยังเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% และเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE) แบบไม่จำกัดวงเงินตามเดิม ส่วนการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบคาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจกิจบางกิจกรรมเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการ ล่าสุดสหรัฐรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน ก.ค. (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นเป็น 51.3 จาก 49.8 ใน มิ.ย. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเพิ่มขึ้นเป็น 49.6 จาก 47.9 ในเดือน มิ.ย.
  • (+/-) กลุ่ม Real sector เริ่มประกาศงบ 2Q20 ภาพรวมยังไม่ดี เพราะไตรมาสนี้ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 เข้ามาเต็มไตรมาส : สัปดาห์นี้กลุ่ม Real Sector จะทยอยประกาศงบ 2Q20 เบื้องต้นคาดภาพรวมผลประกอบการยังไม่ดีเนื่องจากเป็นไตรมาสที่ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติ Covid-19 เต็มไตรมาสโดยเฉพาะมาตรการ lockdown ซึ่งกระทบทั้งปริมาณและยอดขาย อย่างไรก็ตามในส่วนของ SCC คาดว่าจะออกมาดีสวนทางกับบริษัทอื่นๆ เนื่องจากไตรมาสนี้ SCC จะไม่มีรายการพิเศษจากการขาดทุนสต๊อกสินค้าคงคลังเหมือน 1Q20 เบื้องต้นเราคาด SCC มีกำไรสุทธิใน 2Q20 ประมาณ 9.5 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 36%qoq และ 35%yoy (SCC HMPRO ประกาศงบ 29 ก.ค., PTTEP GLOBAL ประกาศงบ 30 ก.ค. และ ASP BEAUTY MBKET และ THCOM ประกาศงบ 31 ก.ค.)