โบรกแห่ลดเป้า‘กำไรบจ.’ บล.ทิสโก้ หั่น ‘อีพีเอส’ เหลือ 61.1 บาท/หุ้น

โบรกแห่ลดเป้า‘กำไรบจ.’ บล.ทิสโก้ หั่น ‘อีพีเอส’ เหลือ 61.1 บาท/หุ้น

โบรกเกอร์ แห่ลดคาดการณ์ “กำไรบจ.” ล่าสุด “ทิสโก้” ปรับ “อีพีเอส” เหลือ 61.1 บาทต่อหุ้น ทำสถิติต่ำสุดรอบ 10 ปี พร้อมปรับลดกำไร บจ. งวดไตรมาส 2 ปี 63 ลงกว่า 40%  พิษโควิด-ล็อกดาวน์ทุบเศรษฐกิจหนัก ด้าน บล.ทรีนีตี้  ฟันธงไตรมาส 2 จุดต่ำสุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) งวดครึ่งแรกปี 2563 ที่เตรียมประกาศออกมาส่วนใหญ่ยังไม่ดีนัก ทำให้ฝ่ายวิจัย บล.ทิสโก้ ปรับลดอัตรากำไรต่อหุ้น(EPS)ของตลาดหุ้นไทยปีนี้ลงเหลือระดับ 61.1 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่มีการปรับในช่วงเดือนพ.ค.ที่อยู่ระดับ 67 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี หลังจาก EPS เคยทำระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 53.4 บาทต่อหุ้นในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

ทั้งนี้ประเมินว่าการทยอยประกาศงบของบจ. ในงวดไตรมาส 2 ปี 2563 คาดว่าจะเป็นช่วงต่ำสุดของปีนี้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิของบจ.โดยรวมจะปรับตัวลดลงกว่า 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจเป็นวงกว้าง

จากการรวบรวมประมาณการผลดำเนินงานของตลาดโดยรวม สำหรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มดัชนี SET50 เบื้องต้นจำนวน 43 บริษัทจากทั้งหมด 50 บริษัท ซึ่งโดยปกติจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70-75% ของกำไรตลาดโดยรวม คาดว่าจะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 9.33 หมื่นล้านบาท หรือลดลงกว่า 39% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่อาจปรับตัวดีขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส1/2563 ซึ่งการลดลงรุนแรงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นผลมาจากการหดตัวของภาวะเศรษฐกิจจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์และการปิดประเทศที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ท่าอากาศยาน,สายการบิน,โรงแรม,ขนส่งมวลชน และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

“การเริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการคาดว่าจะทำให้ตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น และภาพรวมมองเป็นความเสี่ยงในแง่ลบต่อตลาดในระยะสั้น เนื่องจากประมาณการกำไรในช่วงครึ่งปีแรกจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 37% ของประมาณการกำไรโดยรวมของตลาดในปีนี้ และอาจนำไปสู่การหั่นประมาณการกำไรลงอีกภายหลังการประกาศงบ”

อย่างไรก็ตาม คาดว่าทิศทางกำไรสุทธิของบจ.ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คาดว่าจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงที่เหลือของปีนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเบื้องต้นคาดว่ากำไรของบจ.ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 มีโอกาสพลิกกลับมาเติบโตกว่า 30% จากไตรมาสก่อนหน้า

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่าฝ่ายวิจัยคาดว่ามีโอกาสที่จะปรับลด EPS ของตลาดหุ้นไทยปีนี้ลงเช่นกัน จากเดิมที่คาดไว้ระดับ 64-65 บาทต่อหุ้น และปีหน้าที่ระดับ 85 บาทต่อหุ้น หากจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ออกมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นพวงมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบสองในหลายประเทศที่อาจส่งผลให้การเปิดประเทศต้องล่าช้าออกไปและกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องการท่องเที่ยวรวมถึงเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่จะทยอยออกมาไม่น่าจะสดใสนัก และน่าจะเป็นช่วงที่ต่ำสุดในรอบปีนี้ แต่เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวคงไม่มีผลต่อภาวะการลงทุนมากนัก เพราะตลาดได้สะท้อนปัจจัยเหล่านี้ไปล่วงหน้ามากแล้ว

สำหรับสิ่งที่นักลงทุนโฟกัสในช่วงนี้น่าจะเป็นทิศทางผลการดำเนินงานของบจ.ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 มากกว่างบไตรมาส 2 ปี 2563 ที่จะทยอยออกมา เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นแล้วกว่า 20% จากช่วงก่อนหน้าที่เคยปรับตัวลดลงต่ำสุด อย่างไรก็ตามหากงบไตรมาส 3 ปี 2563 ออกมาไม่เติบโตหรือลดลงกว่าที่หลายคนคาด ก็มีโอกาสที่ดัชนีฯจะพักฐานแรงๆได้อีกเช่นกัน

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 จะปรับตัวลดลง 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและลดลงมากกว่าช่วงไตรมาสแรกที่กำไรดรอปลง 25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบมาจากการมาตรการล็อกดาวน์ประเทศหลังพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะค่อยๆเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี2563 ก่อนจะกลับมาเป็นปกติได้ช่วงในปลายปี 2564 หรืออาจใช้เวลาราว 18 เดือน

สำหรับหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตที่ดี คือ กลุ่มส่งออกอาหาร,กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ กลุ่มร้านอาหาร, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มน้ำมันและโรงกลั่น และกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า ได้แก่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า, กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มบริการ เช่น โรงพยาบาลและท่องเที่ยว เป็นต้น รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจฟื้นตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปจนถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า 

อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมทั้งปีกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มีความเสี่ยงที่จะถูกทบทวนลดประมาณการลงอีก จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะลดลง 25% จากปีก่อน เนื่องจากการประกาศงบผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในงวดไตรมาส 2 ปี 2563 ทยอยออกมาแย่กว่าคาดไว้มาก จึงให้คาดว่ากลุ่มนักวิเคราะห์อาจมีการดาวน์เกรดลงอย่างต่อเนื่อง