Selective หุ้นงบ 2Q20 เติบโต

Selective หุ้นงบ 2Q20 เติบโต

คาดดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากแรงซื้อหุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัวหรือกลุ่มที่งบ 2Q20 เติบโตเข้ามาช่วยหนุนดัชนี

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ร่วง 20 จุด (-1.45%) ปิดที่ระดับ 1,357 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.4 หมื่นล้านบาท จากกังวลความขัดแย้งจีนกับสหรัฐหลังมีข่าวสหรัฐประกาศสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮุสตันภายในเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งจีนไม่เห็นด้วยและพร้อมตอบโต้หากสหรัฐไม่ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีข่าวลบกดดันเพิ่มหลังจาก UBS ออกมาคาดการณ์ว่าไทยและไต้หวันมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำประเทศที่แทรกแซงค่าเงิน ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,108  ล้านบาท แต่ Net TFEX SET50  -12,781 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,738 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,350 – 1,365 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน ประกอบกับมีปัจจัยลบกดดันหลังสหรัฐได้สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกัน ขณะที่จีนเตรียมตอบโต้ด้วยการปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองอู่ฮั่น ส่งผลให้มีเกิดความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอีกครั้ง นอกจากนี้ยอดผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 ที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูงราว 7 หมื่นราย/วันซึ่งเป็นแรงกดดันต่อทิศทางการลงทุน อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากแรงซื้อหุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัวหรือกลุ่มที่งบ 2Q20 เติบโตเข้ามาช่วยหนุนดัชนี

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มอาหาร (CPF GFPT TU TFG ASIAN ) และ กลุ่มอิเล็ค ( KCE DELTA HANA SVI ) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น  ( TOP PTTGC SPRC SCC BGRIM CKP CPF TU TASCO STA STGT SPALI AP PRM PTL AJ STARK CBG TQM )
  • กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP TOP PTTGC IRPC SPRC IVL ) อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือ 40 US/Barrel

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BCPG (ปิด 15.9 ซื้อ/เป้า 19.8) ระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะถูกกดดันจากแนวโน้มงบ 2Q20 ที่อ่อนแอ แต่ราคาที่ลดลงเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเนื่องจากครึ่งปีหลังกำไรสุทธิของบริษัทจะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยมีแรงหนุนมาจากการฟื้นตัวของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวซึ่งคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำดังกล่าวจะมีพลิกมีกำไรประมาณ 180 ล้านบาทเทียบจากที่ขาดทุนใน 1Q20 และ 2Q20
  • SPRC (ปิด 6.8 ซื้อ/เป้า 8.0 บาท) ราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวซาอุฯ เพิ่มราคาขาย OSP ไปแล้วด้านงบ 2Q20 คาดพลิกมีกำไร 3.5 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 8.3 พันล้านบาทใน 1Q10 จากกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบ 4.2 พันล้านบาท, ค่าการกลั่น (GRM) ดีขึ้นจาก 1.3$/bbl ใน 1Q20 เป็น 4$/bbl

บทวิเคราะห์วันนี้

BGRIM (ปิด 53.75 ขาย/เป้า 42 เดิม 38.5), GLOBAL (ปิด 17.5 ถือ/เป้า 17.2), HMPRO (ปิด 15.4 ถือ/เป้า 16.7), Thailand Strategy (ยังไม่สายที่จะลงทุนในทองคำ)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) กังวลความขัดแย้งจีนกับสหรัฐกลับมาปะทุหลังสหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวส์ตัน (ติดตามจีนออกมาตรการตอบโต้): วานนี้นักลงทุนกลับมากังวลปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอีกครั้งหลังจากที่สหรัฐมีคำสั่งให้ปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวส์ตันภายใน 72 ชั่วโมง คำสั่งดังกล่าวเป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกัน ขณะที่จีนไม่เห็นด้วยและขู่จะตอบโต้สหรัฐหากไม่ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว โดยมีรายงานว่าจีนอาจจะตอบโต้สหรัฐด้วยการปิดสถานกงสุลของสหรัฐในเมืองอู่ฮั่น หรือ ในฮ่องกง ดังนั้นการตอบโต้ของจีนจึงมีความสำคัญต่อบรรยากาศการลงทุนในวันนี้หรือในระยะถัดไปเพราะหากมีมาตรการตอบโต้ที่มากกว่าทางการฑูต โดยเฉพาะกลับไปทำสงครามการค้าจะทำให้กระทบเศรษฐกิจในวงกว้างและมีผลต่อภาคการค้าของโลกอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้
  • (-) สต๊อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแต่กระทบราคาน้ำมันไม่มากเนื่องจากนักลงทุนคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐและยังได้แรงหนุนจากเงินดอลลาร์อ่อนค่า: สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบแทบไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากตลาดยังมีแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก อีกทั้งนักลงทุนยังมีความคาดหวังว่าทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญหรือมากกว่า ซึ่งจะเข้ามาทดแทนมาตรการช่วยเหลือคนว่างงานซึ่งกำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ มาตรการเศรษฐกิจฉบับใหม่จะหนุนให้เศรษฐกิจและความต้องการน้ำมันดิบจะกลับมาฟื้นตัว
  • (+/-) วันนี้ติดตามกระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลข ส่งออก/นำเข้า เดือน มิ.ย. จับสัญญาณเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วหรือยัง: วันนี้กระทรวงพาณิชย์มีกำหนดรายงานตัวเลข ส่งออก/นำเข้า ของไทยประจำเดือน มิ.ย. Consensus คาดตัวเลขยังหดตัวจากผลกระทบของวิกฤติ Covid-19 อย่างไรก็ตามคาดการหดตัวจะลดลงเมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. เบื้องต้น Consensus ตัวเลขส่งออกเดือน มิ.ย. จะหดตัว 15.5%yoy เทียบจากที่หดตัว 22.5%yoy ในเดือนก่อนหน้า ส่วนตัวเลขนำเข้าเดือน มิ.ย.คาดหดตัว 16.7%yoy เทียบจากที่หดตัว 34.4%yoy ในเดือน พ.ค. ตัวเลขส่งออกคิดเป็น 50%ของ GDP หากมีการฟื้นตัวขึ้นจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะผ่านพ้นจุดต่ำที่สุดมาแล้ว