กังวลข้อพิพาทการค้า

กังวลข้อพิพาทการค้า

ดัชนีวานนี้ปิดร่วงแรงเกือบ 20 จุด คล้ายกับตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่กลับมากังวลประเด็นข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน

นอกจากนี้ ตลาดภายในประเทศยังได้รับปัจจัยกดดันหลังจากสหรัฐเผยว่าไทยอาจถูกขึ้นบัญชีดำจากการแทรกแซงค่าเงิน ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,357.04 จุด (-19.96 จุด) Volume 6.4 หมื่นลบ.ต่างชาติ -2,108.40 ลบ. TFEX Net -12,781 สัญญา ตราสารหนี้ +3,738 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 165.44 จุด +0.62% จากสถานการณ์ตึงเครียดสหรัฐ-จีนทำให้เกิดแรงเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม defensive และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ของสหรัฐซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินราว 1 ล้านล้านดอลลาร์

+สหรัฐเผยยอดขายบ้านมือสองพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย.

+สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อจำนองเพิ่มขึ้นสัปดาห์ที่แล้ว ดอกเบี้ยต่ำหนุนตลาด

+การบินพลเรือนแห่งประเทศไทยประเมิน Q4 ปีนี้ การบินในไทยฟื้นตัวหากไม่มีโควิดรอบ 2 คาดนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเป็นกลุ่มแรก ส่วนการเดินทางในประเทศเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลงเล็กน้อย 2 เซนต์ -0.05% ปิดที่ 41.90 ดอลลาร์/บาร์เรล มีแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้น แต่มีปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และความหวังเกี่ยวกับวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19

-กังวลข้อพิพาทสหรัฐ-จีนรอบใหม่หลังมีข่าวรัฐบาลสหรัฐจะสั่งปิดสถานกงสุลของจีนในสหรัฐเพิ่มขึ้นจากที่สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันไปแล้ว

-ทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 ทะลุ 15.1 ล้านราย ตายกว่า 6.2 แสนราย ส่วนญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เกือบ 800 รายสูงสุดรอบ 3 เดือน ที่โตเกียวพบผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งเกิน 200 เป็นวันที่ 2

-WHO ฟันธงการใช้วัคซีนต้านโควิดกับมนุษย์ไม่เกิดขึ้นก่อนปีหน้า

-ประเทศไทยอาจถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำว่าแทรกแซงค่าเงิน

+ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,333.16 จุด เพิ่มขึ้น 12.27 จุด +0.37%

-ดัชนีนิกเกอิปิดที่ 22,751.61 จุด ลดลง 132.61 จุด หรือ -0.58% ปิดทำการวันนี้ (23 ก.ค.) เนื่องในวันแห่งทะเล

-ทองคำปรับตัวขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลังสหรัฐสั่งปิดสถานทูตจีน

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 2.22 แสนลบ. ค่าเงินบาท 31.60 บาท/US

*จับตาสหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จาก Conference Board

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยนักลงทุนยังวิตกกังวลว่าการที่รัฐบาลสหรํฐสั่งปิดสถานกงสุลที่เมืองฮิวสตัน จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสหรัฐ-จีนรอบใหม่ ประกอบกับแรงกดดันจากไทยอาจถูกขึ้นบัญชี Watchlist ในเรื่องการแทรกแซงค่าเงิน  คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,345-1,370 จุด

หุ้นรายงานพิเศษ

CKP (ซื้อลงทุน Bloomberg Consensus 5.22)

- คาดผลประกอบการ 2Q63 ปรับตัวดีขึ้นจาก 1Q63 เนื่องจากปริมาณน้ำทั้งเขื่อนน้ำงึม 2 และไซยะบุรีปรับตัวดีขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บางเขนชัยได้รับผลบวกจากภาวะอากาศร้อนทำให้ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น  อย่างไรก็ตามยอดขายไฟฟ้าบางปะอินมีแนวโน้มอ่อนตัวจากการปิดภาคธุรกิจในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ด้านต้นทุนทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยคาดว่าจะได้รับผลบวกในครึ่งปีหลัง

- ความเห็น  เรามีมุมมองบวกต่อผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้เนื่องจากจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานทั้ง 2 แห่งซึ่งสร้างกำไรหลักให้บริษัท ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลังหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม เราจึงแนะนำ ซื้อลงทุน

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้น Defensive Stock (ADVANC INTUCH DIF TTW BEM BTS CHG BCH)
  • หุ้นที่คาดผลประกอบการ 2Q20 ดี (WICE TASCO CPF PTT TOP SPRC PTTGC)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (KCE SVI HANA DELTA TU TFG)

หุ้นมีข่าว   

(+/-) PTTEP (Bloomberg Consensus 94.74 บาท) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเตรียมนัดหารือ ปตท.สผ.-เชฟรอนเร่งสรุปการเข้าพื้นที่ติดตั้งแท่นใหม่ในแหล่งเอราวัณ เพื่อรักษาระดับการผลิตภายใน 1 เดือน เปิดทาง PTTEP ติดตั้งแท่นหลุมผลิต-เจาะหลุมผลิตบนแท่นใหม่ตามแผนภายในไตรมาส 3/63 ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซฯ ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ลดลงเหลือ 4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ที่มา ข่าวหุ้น)

(-) COTTO (Bloomberg Consensus 1.45 บาท) ปรับเป้ารายได้รวมปีนี้ลดลง 10-15% จากเดิมคาดโต 3-5% เหตุไวรัสโควิด-19 ฉุดยอดขายกระเบื้อง ส่วนรายได้ครึ่งปีหลังคาดลดลงน้อยกว่า 10% หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+/-) OSP (Bloomberg Consensus 41.44 บาท) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการ หลัง เพชรลาออก พร้อมแต่งตั้ง กรรณิกานั่งประธานคณะกรรมการบริหาร พร้อมดัน ธนาขึ้นเป็นรักษาการ CEO ครึ่งปีหลังเดินหน้าเปิดโรงงานเครื่องดื่ม ที่นิคมอุตสาหกรรมทิลาวา เมียนมา พร้อมขยายช่องทางขายเครื่องดื่มผสมวิตามินซี C Vitt ไปต่างประเทศ (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) INGRS (Bloomberg Consensus - บาท) แจ้งบริษัทย่อยในมาเลเซียและอินโดนีเซีย คว้างาน 3 โครงการ ผลิตและจัดส่งชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับผู้ผลิต (OEM) เตรียมลงทุน 939.10 ล้านบาท คาดสร้างรายได้ 4,005.60 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญาโครงการ 5-6 ปี วางเป้าโครงการแรกเริ่มดำเนินการผลิตในไตรมาส 4 ปี 64/65 (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) WHA (Bloomberg Consensus 3.66 บาท)  ดันยอดเช่าคลังสินค้าทะลุเป้า ระบุลูกค้าเรียงคิวเซ็นสัญญากว่า 40,000 ตร.ม. ในช่วง Q3/2563 นี้ ด้านยอดขายสาธารณูปโภคในนิคมเติบโตต่อเนื่อง การเปิดโรงงานดันอัตราการใช้น้ำพุ่ง ลุ้นรัฐเปิด Business Bubble กระตุ้นยอดขายที่ดินช่วงที่เหลือของปี 2563 นี้ เข้าเป้า 1.4 พันไร่ (ที่มา ทันหุ้น)

(+/-) SAPPE (Bloomberg Consensus 22.00 บาท)   ชูสินค้าเพื่อสุขภาพขายดี ลั่นผลงานผ่านจุดต่ำสุดใน Q2/2563 มั่นใจครึ่งปีหลังฟื้นตัวดี เล็งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง ลุยตลาด Functional Drink คาดสิ้นปีสัดส่วนรายได้แตะ 13-14% ขณะที่ตลาดออนไลน์ไปได้สวย ทุ่มงบ 80-100 ล้านบาท ปรับปรุงการผลิต ฟากโบรกประเมินราคาหุ้นสะท้อนข่าวร้ายไปแล้ว คาดกำไรน่าจะกลับมาเป็นปกติในปี 2564 ประเมินราคาเป้าหมาย 24 บาท (ที่มา ทันหุ้น)

(+) PLANB (Bloomberg Consensus 6.89 บาท)  จ่อบุ๊กรายได้บริหารสื่อโฆษณาในร้าน 7-Eleven ราว 200 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 หนุนภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังสดใส ระบุเริ่มมีลูกค้ากลับเข้ามาซื้อสัญญามากขึ้น ทั้งสื่อนอกบ้าน-ธุรกิจสื่อทางการตลาดแบบมีส่วนร่วม Engagement เล็งปรับเป้ารายได้ปีนี้ใหม่หลังปิดงบครึ่งปีแรก  (ที่มา ทันหุ้น)