‘ไมเนอร์’เด้งแรงอานิสงส์วัคซีนคืบหน้า

‘ไมเนอร์’เด้งแรงอานิสงส์วัคซีนคืบหน้า

“ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ราคาหุ้นขึ้นแรงกว่า 8.56% เหตุรับอานิสงส์แนวโน้มธุรกิจเริ่มฟื้นตัว-วัคซีนป้องกันโควิด-19คืบหน้า ด้านโบรกฯ คาดงบไตรมาส 2/63 ส่อแววต่ำสุดของปี หลังธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหารยอดขายวูบ พร้อมคงแนะนำขาย

ราคาหุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ในวานนี้(21ก.ค.) ปรับตัวขึ้นร้อนแรงกว่า 8.56% โดยปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 20.30 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.60 บาท มูลค่าการซื้อขายคึกคักกว่า 2,952 ล้านบาท โดยระหว่างวันราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 20.50 บาท และต่ำสุดที่ระดับ 18.90 บาท

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น MINT ที่เด้งขึ้นมาแรง เป็นเพราะปัจจัยบวกที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นทั้งแนวโน้มธุรกิจโรงแรมที่มีปัญหาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เริ่มดีขึ้น,ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนคึกคักหลังได้ปรับลดราคาขายเป็น 17.50 บาทต่อหุ้น ประกอบกับอานิสงส์จากการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่คืบหน้ามากขึ้น ซึ่งช่วยหนุนราคาหุ้นให้ดีดกลับขึ้นมา หลังจากในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงค่อนข้างต่ำ

ทั้งนี้คาดว่าปัจจัยพื้นฐานของ MINT ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯยังคงสูงอยู่ ซึ่งส่งผลให้การเปิดประเทศทำได้ช้าลงและกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว โดยคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2ปี2563 น่าจะถูกผลกระทบหนักที่สุดและน่าจะออกมาต่ำสุดของปีนี้ และพลิกกลับมามีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป

“เรายังคงแนะนำขาย โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 16.50 บาท เนื่องจากมองว่าพื้นฐานธุรกิจที่ยังไม่ได้เปลี่ยนมากนักและยังมีโอกาสรับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19อยู่ อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาหุ้นที่เด้งขึ้นมาน่าจะเดินหน้าบวกต่อได้ก่อนที่ปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมจะฟื้นกลับมาดีขึ้น”

ด้านบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่าเชื่อว่าผลประกอบการของ MINT ในงวดไตรมาส 2ปี2563 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ คาดว่าจะรายงานขาดทุนจากการดำเนินงานปกติที่ราว 5,800 ล้านบาท ลดลงอย่างมากจากกำไรปกติที่ราว 2,100 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 2ปี2562 โดยปัจจัยกดดันมาจากการลดลงอย่างมากของอัตราการเข้าพักของโรงแรม เนื่องจากการปิดโรงแรมในไตรมาสที่ผ่านมา และยอดขายที่อ่อนแอของธุรกิจร้านอาหารประเภทนั่งทานในประเทศไทยที่ติดลบสูงถึง 35%

ขณะที่คาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการที่ดีในช่วงไตรมาส3ปี2563 เนื่องจากการเปิดชายแดนเมืองในยุโรปในก.ค.นี้ ซึ่งส่งผลให้บริษัทจะมีการเปิดให้บริการโรงแรมราว 90% ของโรงแรมทั้งหมดในก.ย.2563 และอัตราการเข้าพักในบางประเทศนั้นได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 40-50% อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงจากคาดการณ์กำไรปีนี้และจะมีการทบทวนคาดการณ์อีกครั้งหลังการประกาศงบไตรมาส 2ปี2562