'สนธิรัตน์' เปิดใจลาออก 'รัฐบาลลุงตู่'

'สนธิรัตน์' เปิดใจลาออก 'รัฐบาลลุงตู่'

"สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" เปิดใจลาออก "รัฐบาลลุงตู่" เหตุไม่อยากเป็นตัวปัญหาทางการเมือง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดใจเป็นที่แรกหลังลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานผ่านรายการ Nation Biz Insight ช่อง Nation TV 22 ถึงสาเหตุการตัดสินใจยื่นหนังสือลาออก

"การลาออกเป็นไปตามเหตุผลที่แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลไม่อยากให้การเมืองคลุมเครือ เพราะภาวะการคลุมเครือท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศหลังโควิด-19ตระหนักดีว่ามันหนักมาก ถ้ายิ่งไม่ชัดเจนการเมืองเท่าไหร่ สถานการณ์ของประเทศได้รับการแก้ไชช้าลงบวกกับไม่อยากให้ท่านนายกฯ รับภาระแรงกดดันทางการเมืองจนเสียสมาธิเลยอยากมีส่วนช่วยแก้ปัญหา แนวคิดพวกเราแตกต่างไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนนักการเมืองจริงๆ ไม่อยากเป็นตัวปัญหาทางการเมืองอยากเป็นส่วนช่วยทางการเมือง" นายสนธิรัตน์ กล่าว

ส่วนกรณีที่มองว่าการลาออกครั้งนี้ถือเป็นการ "ถูกทิ้งไว้กลางทาง" หรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่าอย่าไปมองแบบนั้น เพราะไม่รู้ปลายทางคืออะไรการเมืองในทัศนะของผม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ว่าตำแหน่ง หน้าที่ เพียงแต่เรามีความรับผิดชอบเรามีบทบาทเมื่อเรามี แต่เราต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงกับมัน การเมืองส่วนหนึ่งพัฒนามากไม่ได้เพราะยึดติดตำแหน่ง อำนาจ บทบาทการเมืองตลอดเวลา ซึ่งไม่จริง ถ้าเปลี่ยนมุมมอง

"เราไม่ใช่เจ้าของตำแหน่งเจ้าของพรรค ถ้ารู้จักเปลี่ยนผ่าน สร้างผู้นำใหม่ๆการเมืองจะเปลี่ยนปัญหาตอนนี้ที่เห็นคือขาดผู้นำทางการเมือง ไม่เคยสร้าง ทั้งที่ยุคคนรุ่นใหม่แต่เวทีคนรุ่นใหม่ไม่ถูกสร้างอย่างเป็นระบบ ฉะนั้น ไม่มีทางจบในการเมืองต้องเดินไปเรื่อยๆ ลงระหว่างทางบ้าง หยุดบ้าง เป็นปกติทางการเมือง" นายสนธิรัตน์อธิบาย

นายสนธิรัตน์ ยืนยันว่า ก่อนยื่นหนังสือลาออก มีไลน์คุยกับท่านายกฯ ก่อนจะแจ้งสื่อมวลชนว่าลาออก ท่านนายกฯ เองก็ขอบคุณที่ร่วมงานกันมาหลายปี มีความผูกพันที่ดีต่อกัน

ส่วนประเด็นคำถามว่า "ยอมถอย เพราะน้อยใจนายกฯ "นายสนธิรัตน์ ตอบว่า การทำการเมือง ส่วนตัวผมไม่ใช่ตัวตนของเรา เวลาเรารับหน้าที่ที่เป็นผู้บริหารประเทศ ต้องเอาตัวตนออกไป ถ้าเรายึดว่านี่คือตัวตน ก็อาจน้อยใจเสียใจได้ แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ไม่มีเสียใจหรือน้อยใจ มีความรู้สึกเราทำหน้าที่เสร็จแล้ว เมื่อเสร็จแล้วก็เป็นของท่านต่อไป ตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง เป็นตำแหน่งของบ้านเมืองที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ส่วน 4กุมารตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ใน 4 กุมารไม่มีการปรึกษาหรือพูดคุยกันเรื่องนี้เลย ผมเองมีหลายพรรคการเมืองติดต่อเข้ามาอยากให้ไปร่วมทำงานด้วย ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ เพราะรู้จักกันทั้งนั้น แต่ไม่มีความคิดในขณะนี้

"วันนี้ผมให้น้ำหนักตัวเอง บทบาทไม่เป็นทางการ มากกว่าพรรคการเมือง หรือตั้งพรรค ถ้าทำได้อยากเห็นคนไม่เข้าสู่การเมือง แต่มีบทบาทช่วยบ้านเมือง หลายพรรคคงเห็นไม่มีพรรค อยากเสนอให้มีพรรค มีทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลติดต่อมา"

นายสนธิรัตน์ ย้ำว่า ผมไม่ได้คิดมากเส้นทางการเมือง เราผ่านมาพอสมควรแล้ว ถ้าส่งเสริมคนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ถ้าเราสามารถมีส่วนใช้ประสบการณ์เพื่อบ้านเมือง และผลักดันสิ่งใหม่ๆได้ คิดว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า

สำหรับมุมมองการเมืองจากนี้ มองว่า การเมืองจะค่อยๆเปลี่ยน นักการเมืองจะค่อยๆถูกเปลี่ยน ต้องอดทน เชื่อว่าด้วยพื้นฐานประเทศเปลี่ยนแปลง สัดส่วนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งคนรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกไม่ไกล

"การเมืองเก่าถูกกลืนกินโดยการเมืองใหม่ การเมืองเก่าจะค่อยๆ ลดบทบาทความสำคัญลง การเมืองเก่าไม่ปรับตัวจะถูกกลืนกิน ช่วงนี้เป็นรอยต่อการเมืองเก่าและการเมืองใหม่"

ทิศทางการเมืองไทยเป็นรอยต่อที่สำคัญ มีปัจจัยท้าทาย มาจากองค์ประกอบของการเมืองในปัจจุบัน ที่มีพรรคต่างๆ มีการเมืองเก่า การเมืองใหม่ผสมในเนื้อการเมือง มีมิติใหม่ๆเข้าสู่การเมือง และมีความท้าทายจากผลกระทบที่ไม่เคยเกิดขึ้น เช่น โควิด-19 กระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ชีวิตควาเป็นอยู่ แล้วยังมีเรื่องเศรษฐกิจโลก ความเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ไอที ดิจิตอล เปลี่ยนชีวิต

"ฉะนั้นการเมือง 2 3ปีนี้ต้องปรับตัวอย่างมากให้ทัน การเมืองไทยกำลังอยู่บนคลื่นความเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงท้าทายของการเมืองไทย" นายสนธิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย