วัคซีน Covid-19 คืบหน้า

วัคซีน Covid-19 คืบหน้า

คาดดัชนีจะสลับอ่อนตัวลงจากแรงกดดันของกลุ่มธนาคารหลังประกาศกำไร 2Q20 หดตัวลงและตั้งสำรอง NPL พุ่งขึ้นมาก

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ลดลง 1.3 จุด (-0.09%) ปิดที่ระดับ 1,358 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.2 หมื่นล้านบาท จากแรงเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร (KBANK SCB BBL) หลังจาก KBANK และ TISCO ประกาศงบ 2Q20 ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามดัชนีลดลงในกรอบจำกัดเท่านั้นเนื่องจากนักลงทุน Switch เงินลงทุนไปยังกลุ่มโรงกลั่น & ปิโตรฯ คาดงบ 2Q20 พลิกมีกำไร, กลุ่มสื่อสารมีปันผลระหว่างกาล และ กลุ่มส่งออกอาหารได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 266 ล้านบาท และNet Short TFEX 4,060  สัญญา อีกทั้งขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,989 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นบวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,370 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตามปัจจัยบวกความคืบหน้าวัคซีนป้องกัน Covid-19 หลังวัคซีน ChAdOx1 nCoV-19 ที่พัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัท AstraZeneca และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สามารถสร้างภูมิต้านทานเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการทดลองในมนุษย์ ประกอบกับแรงหนุนราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรฯ อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีจะสลับอ่อนตัวลงจากแรงกดดันของกลุ่มธนาคารหลังประกาศกำไร 2Q20 หดตัวลงและตั้งสำรอง NPL พุ่งขึ้นมาก นอกจากนี้ความกังวลยอดผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในสหรัฐจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันทิศทางดัชนี

** ติดตามการประกาศงบ 2Q20 ของกลุ่มธนาคารและไฟแนนท์ที่คาดว่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มอาหาร ( TU CPF GFPT TFG ASIAN ) และ กลุ่มอิเล็ค ( KCE DELTA HANA SVI ) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น  ( TOP PTTGC SPRC SCC BGRIM CKP CPF TU TASCO STA STGT SPALI AP PRM PTL AJ STARK CBG TQM )
  • กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP TOP PTTGC IRPC SPRC IVL ) อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้น

หุ้นแนะนำวันนี้

  • SPRC (ปิด 6.9 ซื้อ/เป้า 8.0 บาท) ราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวซาอุฯ เพิ่มราคาขาย OSP ไปแล้วด้านงบ 2Q20 คาดพลิกมีกำไร 3.5 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 8.3 พันล้านบาทใน 1Q10 จากกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบ 4.2 พันล้านบาท, ค่าการกลั่น (GRM) ดีขึ้นจาก 1.3$/bbl ใน 1Q20 เป็น 4$/bbl
  • CPF (ปิด 34.5 ซื้อ/เป้า 36.25) Let profit run ทิศทางผลกำไรใน 2Q20 ยังโดดเด่นต่อเนื่องจาก ราคาหมู ไก่ ในประเทศยังเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาหมูในเวียดนามยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง (8 หมื่น -1 แสนดงต่อ ก.ก.) นอกจากนี้ CPF ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนกากถั่วเหลืองที่ลดลงสงผลให้มาร์จิ้นของบริษัทยิ่งเพิ่มขึ้น

บทวิเคราะห์วันนี้

MINT (ปิด 18.7 อยู่ระหว่างทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมาย), PSH (ปิด 11.8 ถือ/เป้า 11.7)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) Covid-19 มีข่าวดีล่าสุดแอสตร้าเซนเนก้าระบุว่าวัคซีนของบริษัทสามารถป้องกันไวรัส Covid-19 ได้ : วานนี้  The Lancet ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ เปิดเผยว่า วัคซีน ChAdOx1 nCoV-19 ที่พัฒนาร่วมกันระหว่างแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยารายใหญ่ของอังกฤษ และ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สามารถสร้างภูมิต้านทานเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการทดลองเฟสแรกกับอาสาสมัครจำนวน 1,077 โดย 90% ของอาสาสมัครสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในการได้รับยาเพียง 1 โดส และ มีเพียง 10 รายเท่านั้นที่จะต้องรับยาเพิ่มเป็น 2 โดสถึงจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้  โดยจากนี้บริษัทจะเร่งพัฒนาในระดับถัดไปซึ่งจะต้องมีการทดลองในอาสาสมัครเพิ่มเป็น 10,000 -30,000 ราย ข่าวความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนจะช่วยลดความกังวลให้กับตลาดเนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • (-) กลุ่มแบงก์กำไร 2Q20 หดตัวตามคาด หลักๆมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น : กลุ่มธนาคารทยอยประกาศผลกำไร 2Q20 ออกมาต่อเนื่อง ปัจจุบันประกาศงบออกมาแล้วทั้งหมด 6 ธนาคารมีกำไรสุทธิรวม 1.99 หมื่นล้านบาทลดลง 22%qoq และ 34%yoy และส่วนใหญ่มีผลกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้นำโดย KBANK มีกำไรสุทธิลดลงมากที่สุด -67%qoq และ 78%yoy และต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 59% หลักๆมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็น 20,192 ล้านบาท เทียบจาก 11,872 ล้านบาท เช่นเดียวกับ KTB ที่ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 14,000 ล้านบาท เทียบจาก 1Q20 ที่ 8,000 ล้านบาท ส่วน SCB เป็นเพียงธนาคารเดียวที่กำไรสุทธิออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด เนื่องจากไตรมาสนี้บริษัทไม่ได้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเหมือนแบงก์อื่นๆ (รายจ่ายตั้งสำรองทรงตัวที่ 9,700 ล้านบาท) โดย SCB มีกำไรสุทธิ 8,292 ล้านบาท ลดลง 10%qoq และ 24%yoy
  • (+/-) EU มีโอกาสในการบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 7.5 แสนล้านยูโร  : หลังจากที่การประชุมกลุ่มผู้นำ 27 ชาติของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร (8.57 แสนล้านดอลลาร์) ร่วงเลยจดเข้าสู่วันที่ 4 โดยปัจจุบันมีแนวโน้มสูงที่การประชุมดังกล่าวจะบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองทุนได้หลังจากที่ประชุมมีข้อเสนอสำหรับวงเงินให้เปล่าลดลงจาก 4 แสนล้านยูโร เป็น 3.9 แสนล้านยูโร ทำให้กลุ่มประเทศที่ไม่เห็นด้วยในช่วงก่อนหน้ายอมตกลง ทั้งนี้ยังต้องรอการประชุมและสรุปอย่างเป็นทางการซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือเย็นวันนี้ หากที่ประชุมเห็นชอบคาดว่าจะส่งผลบวกต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและหุ้นไทยในช่วงการซื้อขายภาคบ่าย