'บิ๊กตู่' ดีดลูกคิด ปรับ ครม. บาลานซ์พาวเวอร์ 'พปชร.'

'บิ๊กตู่' ดีดลูกคิด ปรับ ครม. บาลานซ์พาวเวอร์ 'พปชร.'

เริ่มเห็นเค้าชัดๆ แล้วว่า ใครบ้างจะเข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” แทนคนที่ลาออกไป

คนแรกคือ “ปรีดี ดาวฉาย” ว่าที่ “รมว.คลัง” ในยุคชีวิตวิถีใหม่ ที่ค่อนข้างชัวร์กว่าใครเพื่อน การทำงานของ “ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล” นับจากนี้ “นายกรัฐมนตรี” จะใช้โมเดลหมอในการสู้วิกฤติ “โควิด-19” ที่ระดมทีมแพทย์ระดับแถวหน้าของประเทศช่วยระดมสมอง เช่นเดียวกับการแก้วิกฤติเศรษฐกิจ มี “ทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ” คอยช่วยประคับประคอง ให้ข้อคิดเห็น ก่อนคนที่ตัดสินใจสุดท้าย คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

ส่วนเก้าอี้ “กระทรวงพลังงาน” ที่แม้จะมีคู่ชิงคนเดิมอย่าง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แต่กระแสช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา กลับไม่เคยนิ่ง มีความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด โดยเฉพาะชื่อ “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ที่กำลังมาแรงในช่วงหลัง โดยว่ากันว่า “ไพรินทร์” ได้รับแรงหนุนจาก “นายกฯ” มากกว่าฝ่ายการเมือง ด้วยเหตุผลไม่กี่ข้อ

ข้อแรก นายกฯ ยังห่วงกระแสสังคมจะตีกลับ หากเลือกตอบโจทย์ฝ่ายการเมืองมากกว่าตอบโจทย์วิกฤติของประเทศและประชาชน และกลัวว่าหาก “สุริยะ” ได้คุม “พลังงาน” จะยิ่งสร้างอำนาจต่อรองมากขึ้น หลังจากลูกน้องสุดเลิฟ อย่าง “อนุชา นาคาศัย” ส.ส.ชัยนาท ได้เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และมีโอกาสสูงที่จะได้เป็น “รัฐมนตรี” สมัยแรกในชีวิต
เที่ยวนี้

นายกฯ จึงต้องดีดลูกคิดทบทวนหลายตลบ คิดหน้าคิดหลังบาลานซ์พาวเวอร์ให้ดี ไม่เช่นนั้น หาก “สุริยะ” ผงาดได้คุม “พลังงาน” ย่อมส่งให้ “สามมิตร” ใหญ่คับพรรคพปชร. แน่นอน แต่หากนายกฯ หัก “สุริยะ” ก็ไม่รู้ว่าเลือกตั้งครั้งหน้า พปชร. จะมีชื่อ “สามมิตร” อยู่ด้วยหรือไม่

ส่วน “อนุชา” และ “สุชาติ ชมกลิ่น” ส.ส.ชลบุรี และรองหัวหน้าพรรค มีโอกาสสูงที่จะได้ตำแหน่งเสนาบดี โดย “อนุชา” ที่มีโอกาสขึ้นว่าการ “กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ขณะที่ “สุชาติ” มีโอกาสสูงที่จะไปเป็น “รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย” หรือ “รมต.ประจำสำนักนายกฯ” แทน “เทวัญ ลิปพัลลภ” หลัง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ยังยืนยันไม่ปล่อยโควตา “กระทรวงแรงงาน” แลกกับ “กระทรวงอุดมศึกษาฯ” ดังนั้น “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” คือว่าที่ “รมว.แรงงาน” คนใหม่ แทน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล

การปรับ ครม. ยังไม่ทันจะเสร็จสิ้น ตอนนี้ยังมีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาสร้างความปวดหัวให้กับพล.อ.ประยุทธ์ อีก โดยม็อบมุ้งมิ้งในสายตาของรองโฆษกกองทัพบกอาจยังไม่เป็นปัญหาเท่ากับท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่นานวันเริ่มออกอาการให้เห็นแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้เงียบปากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอยู่นานพอสมควร

สถานการณ์ทางการเมืองว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใต้การคุมบังเหียนของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่ปรึกษานายกฯ เต็มไปด้วยความคืบหน้าที่ไม่มีความคืบหน้า เพราะเพิ่งได้รับการขยายเวลาออกไปอีก 90 วัน เมื่อได้รับการทดเวลาบาดเจ็บรอบใหญ่ แน่นอนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญย่อมต้องอืดตามเช่นกัน

ที่สำคัญข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ คงเต็มไปด้วยนามธรรมที่ไม่อาจแตะต้องได้ เพื่อดึงเวลาไม่ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น ปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาลเป็นฝ่ายอกแตกตายไปเอง เพราะถึงที่สุดแล้วหากไปด้วยกันไม่ได้ก็แค่ยุบสภา และการยุบสภาภายใต้กติกาเช่นนี้ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ มีแต่ได้กับได้ แล้วค่อยไปวัดกำลังกับม็อบมุ้งมิ้ง นอกสภากันอีกที

นอกจากบาลานซ์พาวเวอร์ในพรรคแล้ว การบาลานซ์พาวเวอร์ในส่วนอื่นๆ ของพล.อ.ประยุทธ์ ก็น่าติดตามว่า บทสรุปสุดท้าย จะถูกใจนักการเมือง หรือประชาชน