KBANK คาด กำไรระบบแบงก์ ไตรมาส2 ดิ่ง 52% สำรองพุ่ง

KBANK คาด กำไรระบบแบงก์ ไตรมาส2 ดิ่ง 52% สำรองพุ่ง

ศูนย์วิจัยกสิกร คาดกำไรระบบธนาคารพาณิชย์ดิ่ง 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 2.68-3.25 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบโควิด ทำรายได้ดิ่ง สำรองพุ่ง

159523830460      ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า สัญญาณอ่อนแอลงอย่างมากของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา มีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ ลดลง 52.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง ลดลง42.0% มาอยู่ที่ 2.68-3.25 หมื่นล้านบาทจากที่มีกำไรสุทธิ 6.37 หมื่นล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2563 ที่ผ่านมา

    ซึ่ง เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจหลักท่ามกลางผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และการตั้งสำรองฯ เพื่อเตรียมการรองรับความไม่แน่นอนของประเด็นคุณภาพของสินเชื่อในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า ขณะที่แนวทางการตั้งสำรองฯ ของแต่ละธนาคารจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะของพอร์ตสินเชื่อ  

     สำหรับในระยะที่เหลือของปี 2563 นั้น คาดว่า ความเสี่ยงของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ลากยาว จะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งทำให้โจทย์ในการประคองทิศทางกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ยังคงมีความท้าทายไม่น้อยไปกว่าช่วงครึ่งปีแรก  

    ประกอบกับยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเร่งปรับโครงสร้างให้กับลูกหนี้ และการวางแนวทางให้ความช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารแต่ละแห่ง ภายหลังจากที่มาตรการพัก-เลื่อนชำระหนี้สิ้นสุดลง 

    ทั้งนี้ สภาวะแวดล้อมที่อ่อนแอต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยจากการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2563 มีผลกระทบมากขึ้นต่อความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 2/2563

   ขณะที่ภารกิจสำคัญเร่งด่วนของธนาคารในช่วงนี้ สลับกลับมาที่เรื่องการติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทาง/โครงการความช่วยเหลือของหน่วยงานทางการ รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือลูกค้า ของแต่ละธนาคาร ทั้งเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องและปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ทุกกลุ่ม

     อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า วัฏจักรเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงในขณะนี้ มีผลกดดันต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อ และรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ รวมทั้งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ในเกณฑ์ที่สูงกว่าระดับปกติ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะยังคงเห็นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 

    โดยคาดว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 2ของระบบธนาคารพาณิชย์ อาจเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 6.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเร่งขึ้นของสินเชื่อธุรกิจ ธุรกิจรายใหญ่และ SMEs โดย

   สำหรับธุรกิจรายใหญ่นั้น มีสัญญาณการเบิกใช้สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรก-ต้นไตรมาสสอง เพื่อทดแทนการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

   ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs ทยอยเพิ่มขึ้นตามการอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของโครงการธปท. และธนาคารออมสิน ประกอบกับธนาคารแต่ละแห่งก็ได้มีมาตรการสนับสนุนสินเชื่อเสริมสภาพคล่องแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการของตนเองด้วยเช่นกัน

   ขณะที่คาด รายได้ดอกเบี้ยสุทธิและผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ จะชะลอลงในไตรมาสที่ 2/2563 จากการลดดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วงที่ผ่านมา ทำให้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yields on Loans) ในไตรมาส 2/2563 จะชะลอลงมาที่กรอบ 3.40-3.85% จาก 4.50% ในไตรมาส 1/2563

   ส่วน NIM หรืออัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย จะชะลอลงมาที่กรอบ 2.20-2.50% จาก 3.00% ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ด้านรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการไตรมาส 2 คาดลดลง 35% จากไตรมาสแรก

 

               

    ทั้งนี้ ท่ามกลางสัญญาณอ่อนแอของเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้หลายกลุ่ม ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์ มีโอกาสขยับขึ้นมาที่ 3.30-3.40% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2563 จากระดับ 3.05% ในไตรมาส 1/2563

   โดยคงต้องติดตามสัญญาณด้อยคุณภาพของสินเชื่อในพอร์ตลูกค้า SMEs และลูกค้ารายย่อย อาทิ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันอย่างใกล้ชิด 

     แม้ในระยะสั้น ตัวเลข NPLsที่มีการรายงานออกมาจะยังไม่ขยับขึ้นมาก แต่คาดว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) จะขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่กรอบประมาณ 1.65-1.90% ในไตรมาส 2/2563 เทียบกับไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 1.46%

   จาก ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจะทำการตั้งสำรองฯ ในระดับสูงตามความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องมองไปข้างหน้า (Forward-looking) มากขึ้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS 9) แม้ว่าเกณฑ์การผ่อนปรนการจัดชั้นหนี้ของธปท. จะช่วยบรรเทาภาระจากการให้ความช่วยเหลือลูกค้าก็ตา

   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจที่ถูกกระทบอย่างหนักในปีนี้ และยังอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะกลายเป็นสมมติฐานสำคัญที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งใช้ในการวางแผนธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องในปีหน้า

   นอกจากนี้ประสบการณ์หนึ่งที่ได้จากทุกวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ก็คือ ปัญหาคุณภาพหนี้มักเป็นตัวแปรตามหลังสภาวะเศรษฐกิจ (Laggard) ดังนั้นแม้สัญญาณเศรษฐกิจอาจเริ่มดีขึ้นบ้างในปีหน้า แต่จะยังคงมีโอกาสเห็น NPLs ในระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้

   และทำให้ธนาคารแต่ละแห่งต้องเตรียมการตั้งสำรองฯ ในระดับสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อแนวโน้มกำไรสุทธิในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า โดยประเมินว่า Credit Cost ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10 bps. จะมีผลทำให้กำไรสุทธิลดลงประมาณ 3,300-4,000 ล้านบาท