‘เยาวชนปลดแอก’ ชุมนุม ‘อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย’ เรียกร้องรัฐบาลยุบสภา พร้อมจุดยืน 3 ข้อ

สัญลักษณ์การชู 3 นิ้ว และแผ่นข้อความแสดงจุดยืนของผู้คนบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ กลุ่มเยาวชนปลดแอก–Free YOUTH และกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้นัดหมายมาทำร่วมกันในกิจกรรมชุมนุมทางการเมือง ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 17.00 น. ของวันที่ 17 กรกฎาคม 2563

กิจกรรมชุมนุมทางการเมืองครั้งนี้ มีจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก ภายใต้คอนเซปต์ ไม่ทนอีกต่อไป โดยผู้ชุมนุมจำนวนมากใส่เสื้อสีดำเป็นสัญลักษณ์ อีกด้านหนึ่ง มีตำรวจจาก สน.สำราญราษฎร์ และเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ ร่วมสังเกตการณ์ และดูแลความสงบเรียบร้อย

การรวมตัวกันของผู้คนในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีการประกาศนัดชุมนุมผ่านทางโซเชียลมีเดียเมื่อหลายวันก่อน โดยความเคลื่อนไหวบริเวณพื้นที่โดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางวันก่อนเวลานัดหมาย โดยเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพมหานครได้มีการนำกระถางต้นไม้มาตบแต่งบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นพื้นที่บริเวณดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาก่อนเวลานัดหมาย รวมทั้งความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเป็นไปอย่างคึกคักจนทำให้แฮซแท็ก #เยาวชนปลดแอก ติดเทนด์อันดับ 1 ของทวิตเตอร์ กระทั่ง เมื่อเวลา 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ได้ผลักดันแผงเหล็กกั้นของเจ้าหน้าที่ บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ ลงมาถนนราชดำเนินกลาง ฝั่งขาออก และปิดการจราจรเพื่อขยายพื้นที่การปราศรัย มีการนั่งฟังบนพื้นถนน ทำให้การจราจรถนนราชดำเนินเริ่มติดขัด ด้านเจ้าหน้าที่เองก็พยายามกำหนดเขตเคลื่อนไหวให้ผู้ชุมนุมอยู่กับที่

ทั้งนี้ผู้มาร่วมชุมนุม ได้สวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโควิด-19 และมีการร้องตะโกน “ประยุทธ์ออกไป” พร้อมกับชูสามนิ้ว เป็นสัญลักษณ์ มีการสลับกันขึ้นเวทีอภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนไปยึดพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อตั้งเวทีปราศรัย

สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้มี 3 ข้อประกอบด้วย 

1.เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภาทันทีหลังบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวโดยเฉพาะ การเกิดถ้าระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลให้คนตกงานและขาดรายได้จำนวนมาก

2.หยุดคุกคามประชาชน การใช้กฎหมายและข้ออ้างความมั่นคงปิดปากประชาชน

3.เรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่

การปราศรัยบนเวทีเริ่มขึ้นหลังยืนตรง ร้องเพลงชาติร่วมกันในเวลา 18.00 น. แกนนำทั้งกลุ่มเยาวชนปลดแอก FreeYouth และกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้สลับกันขึ้นเวที

พริษฐ์ ชีวารักษ์ แกนนำ สนท. ขึ้นปราศรัยว่า การมารวมตัวกันวันนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงรัฐบาลว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกนำมาใช้ควบคุมประชาชน ยิ่งนำกฎหมายมาใช้ในทางที่ไม่ชอบ วันหนึ่งไม่ว่ากฎหมายใดก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทันที ไม่เช่นนั้นประชาชนจะออกมายกเลิกเอง

ด้าน ภาณุพงศ์ จาดนอก ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ของผู้ถือป้ายประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะลงพื้นที่ จ.ระยอง ได้ขึ้นปราศรัยว่า พวกเราไม่กลัว พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้ตนเดินทางมาจาก จ.ระยอง เพื่อมาไล่นายกฯ แม้ว่า ล่าสุดนั้นจะมีการส่งหมายเรียกไปที่บ้านตนแล้ว แต่แม่ตนบอกว่า ถ้าไม่ครบ 100 หมายเรียกไม่ต้องกลับบ้าน โดยวันที่ 23 กรกฎาคม นี้ จะเดินทางไป สภ.ระยองเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา

“วันนี้ผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ก่อนออกจากบ้าน ได้บอกแม่ให้เตรียมเงินทำศพไว้เลย บอกเลยว่าผมไม่กลัวตาย”

บรรยากาศในช่วงค่ำ มีแกนนำผู้ชุมนุมสลับกันขึ้นเวทีปราศัยโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และยังประกาศว่า จะนอนค้างคืนที่บริเวณอนุสารีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอีกด้วย ระหว่างนั้น ได้มีกลุ่มศิลปินสลับกันขึ้นเวทีเพื่อผ่อนคลายให้ผู้ชุมนุม รวมทั้ง RAD – Rap Against Dictatorship เจ้าของเพลง ประเทศกูมี ได้มาร่วมร้องเพลง โดยไม่มีดนตรีด้วย

ด้านความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ ตำรวจได้ปิดการจราจรบางส่วนบนถนนราชดำเนินกลาง ขาเข้า ตั้งแต่ลงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงบริเวณการชุมนุม เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปักหลักยึดพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ขณะที่เหตุความวุ่นวายระหว่างชุมนุมตั้งแต่ช่วงเย็นได้เกิดขึ้นหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย กระทั่งเวลา 21.30 น. เกิดเหตุการณ์วุ่นวายภายในเต้นท์สื่อมวลชนที่บริเวณม็อบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจแฝงตัวเข้าไปภายในกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการเข้าจับตัวจนเกิดการปะทะกัน ก่อนที่จะจบลงด้วยดี ก่อนที่เวลา 22.00 น. ทางกลุ่มเยาวชนปลดแอกได้ติดตั้งเครื่องเสียงเพิ่มเติมบริเวณหน้าเวทีชุมนุม

การปักหลังแสดงพลังของผู้ชุมนุมยังดำเนินต่อไป จนกระทั่ง เวลาประมาณ 00.21 น. แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก นำโดย เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปลดแอก ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี และ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์  ประกาศยุติการชุมนุม อ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัย พร้อมระบุข้อเรียกร้องถึง นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 3 ข้อ คือ หยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยขีดเส้นใต้ให้นายกฯ ชี้แจงภายใน 2 สัปดาห์ หากไม่มีท่าทีตอบรับ จะนัดรวมตัวกันใหม่

โดยในการชุมนุมอีกครั้งหน้าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จะมีการเตรียมการทั้งห้องน้ำ และเรื่องอื่นๆ ให้มากกว่านี้ และมั่นใจว่าประชาชนจะมาชุมนุมเหมือนวันนี้แน่นอน

ทั้งนี้ทางแกนนำได้แจกถุงดำให้กับผู้ชุมนุมเพื่อเก็บขยะ และแจกน้ำดื่มให้กับมวลชนด้วย ซึ่งหลังมีการประกาศยุติชุมนุม ก็ได้มีการยกแผงเหล็กที่กั้นถนนราชดำเนินกลางบริเวณด้านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยาออก เพื่อให้การจราจรกลับคืนสู่ปกติอีกครั้งหนึ่ง

ภายหลังจากมีการประกาศยุติการชุมนุม อานนท์ นำภา แกนนำแจ้งว่า คืนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับปากว่าวันนี้จะไม่มีการจับกุมใครทั้งสิ้น และจะดูแลผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ทุกคน โดยมี รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่มาลงพื้นที่ชุมนุมคอยดูแลความเรียบร้อย จากที่ก่อนหน้านี้มีผู้ชุมนุมแจ้งว่า มีชายต้องสงสัยจะมาจับกุมตัวทำให้ต้องพากันหนี ท่ามกลางความแตกตื่นของผู้ชุมนุม

หลังเกิดเรื่องทางแกนนำได้พูดคุยกับตำรวจในพื้นที่ ซึ่งได้ยืนยันว่า ไม่มีชุดจับกุมดำเนินคดีกับใครในวันนี้อย่างแน่นอน ทำให้ผู้ชุมนุมพอใจ และทางแกนนำได้ทยอยให้ผู้ชุมนุมขึ้นรถเพื่อออกไปจากพื้นที่ถนนราชดำเนินจนแล้วเสร็จ จึงค่อยแยกย้ายกัน

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมาบัญชาการเหตุการณ์ ระบุว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการประสานขออนุญาต เจ้าหน้าที่พยายามกำหนดให้ผู้ชุมนุมอยู่กับที่ หากต้องมีการชุมนุมต่อเนื่องข้ามวัน ก็จะจัดกำลังเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยให้ ทั้งนี้ยืนยันว่าการดำเนินการของตำรวจจะดำเนินการโดยยึดตามหลักของกฎหมาย

ด้าน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ถึงการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา โดยตอบข้อถามว่าจะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจหรือไม่ว่า อยากบอกว่า ขนาดตัวเองไม่ได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ชักใย และสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้ทำกิจกรรมไปด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของพวกเขา