เคล็ดลับ ‘ชีวิต’ ที่ยืนยาวของผู้คนใน ‘Blue Zones’

เคล็ดลับ ‘ชีวิต’ ที่ยืนยาวของผู้คนใน ‘Blue Zones’

รวมเคล็ดลับ 'อายุยืน' กว่าร้อยปีของผู้คนที่อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในแถบ “Blue Zones” ท่ามกลางวิถีและ “ชีวิต” ที่แตกต่างกันไป  

บลู โซนส์ (Blue Zones) ได้รับความสนใจและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางหลัง แดน บุเอ็ตต์เนอร์ (Dan Buettner) นักสำรวจ นักเขียนและช่างภาพเนชั่นแนลจีโอกราฟฟี (National Geography) ได้นำเสนอเรื่องราววิถีการกินและการใช้ชีวิตของผู้คนแถบบลู โซนส์ ลงในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2005 มีที่มาจาก ดร. ไมเคิล พูเลน (Dr. Michel Poulain) นักวิจัยด้านประชากรศาสตร์ ชาวเบลเยี่ยม ที่ได้ศึกษาเรื่องราวของกลุ่มประชากรอายุยืนทั่วโลกในงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งพาพูเลนมาพบกับ แคว้นซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี

งานวิจัยชิ้นนั้นระบุว่าชายชาวซาร์ดีเนียมีอายุยืนยาวกว่าหญิง ขณะที่งานวิจัยส่วนใหญ่ทั่วโลกพบว่าผู้หญิงมักมีอายุยืนยาวกว่าผู้ชาย เพื่อตอบข้อสงสัยนั้น พูเลนทำงานร่วมกับ นายแพทย์เกียนนี เพส (Dr. Gianni Pes) นักวิจัยด้านประชากรศาสตร์และนักชีววิทยา ชาวอิตาลี เสาะหาข้อมูลผู้คนที่มีอายุกว่าร้อยปีขึ้นไป แล้วใช้ปากกาสีน้ำเงินทำเครื่องหมายที่ตั้งเหล่านั้นไว้ในแผนที่

บลู โซนส์ จึงกลายเป็นคำจำกัดความที่สื่อสารถึงภูมิภาคที่มีประชากรอายุยืนยาวมากกว่าร้อยปีอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในโลก ที่สำคัญจากการสำรวจวิจัย พบว่า ประชากรเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข ท่ามกลางวัฒนธรรมการกิน การใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป 

159509958073

ปัจจุบันเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น บลู โซนส์ มีทั้งหมด 5 เมืองทั่วโลก ได้แก่ แคว้นซาร์ดิเนีย (Sardinia) ประเทศอิตาลี เกาะโอกินาวา (Okinawa) ประเทศญี่ปุ่น เมืองนิคอยา (Nicoya) ประเทศคอสตาริกา เมืองโลมา ลินดา (Loma Linda) รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเกาะอิคาเรีย (Icaria) ประเทศกรีซ

จากการสำรวจพบว่าประชากรในบลู โซนส์ มักไม่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งและโรคอ้วน แม้ขณะที่อายุมากแล้วยังคงใช้ชีวิตอย่างร่าเริงมีชีวิตชีวาไม่เหี่ยวเฉา

งานวิจัยสามารถสรุปวิถีการกินของผู้คนแถบบลู โซนส์ ได้ดังนี้ การทานอาหารที่มีพืชเป็นส่วนประกอบร้อยละ 95 หรือที่เรียกว่า ‘plant based diet’ โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ไม่ทานจนอิ่มมากเกินไป ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหักโหมแต่การออกกำลังผนวกเข้ากับวิถีชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ เช่น การเดินเลี้ยงแกะมากกว่า 8 กิโลเมตรต่อวัน การเดินเล่นรอบบ้าน เดินแวะเวียนไปทักทายเพื่อนบ้าน การทำสวน การทำอาหาร (การนวดขนมปัง) นอนหลับอย่างเพียงพอ 6-8 ชั่วโมง ดื่มแอลกอฮอล์อย่างพอเหมาะ เช่น ไวน์ขาวหรือไวน์แดง (ผู้ชาย 2 แก้วต่อวัน ผู้หญิง 1 แก้วต่อวัน) และการมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ชีวิต

นอกจากนี้ วิถีชีวิตที่เห็นได้อย่างชัดเจนในพื้นที่บลู โซนส์ คือ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างคนในครอบครัวและเครือข่ายสังคม ชุมชนมีแหล่งพบปะกันในกลุ่มผู้สูงอายุให้ได้พูดคุยสังสรรค์คลายเหงา

159509957970

แคว้นซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี  เป็นบลู โซนส์ แห่งแรกที่ถูกสำรวจในปี 2004 เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอิตาลี ห่างจากมิลานประมาณ 750 กิโลเมตร ชาวซาร์ดิเนียนยังคงรักสันโดษ รักษาประเพณีและวิถีชีวิตดั้งเดิมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและทำอาหารด้วยตัวเอง ไวน์ที่หมักจากองุ่นพันธุ์ท้องถิ่นในซาร์ดิเนีย มีสารฟลาโวนอยด์ช่วยบำรุงหลอดเลือดมากกว่าไวน์อื่นๆ สองถึงสามเท่า

พวกเขาดื่มนมแพะที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและอัลไซเมอร์ ทานชีสคุณภาพดี (Pecorino Cheese) ทำจากนมแกะในฟาร์มที่เลี้ยงด้วยหญ้าสด คุณค่าทางอาหารเต็มไปด้วยโอเมก้า 3 และไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนี้ชาวซาร์ดิเนียนยังคงใช้ชีวิตแบบครอบครัวขยายหรือมีบ้านอยู่อาศัยของคนในครอบครัวละแวกใกล้เคียงกัน

การระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา อิตาลีเป็นหนึ่งในอีกหลายประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูง แต่ด้วยที่ตั้งห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ครอบครัวชาวซาร์ดิเนียนยังใช้ชีวิตใกล้ชิดกันได้มากกว่าผู้คนในท้องถิ่นอื่น

มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในซาร์ดิเนียเพียง 1 เคสจากการเดินทางกลับจากต่างประเทศ อาจเรียกได้ว่าโควิดไม่ใช่เรื่องติดขัดสำหรับพวกเขา ชาวซาร์ดิเนียนมีลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะตัวแตกต่างจากคนอิตาลีแถบอื่น การทดสอบพบว่ามียีนส์ดีที่เกิดจากการคัดกรองตามธรรมชาติ เกาะแห่งนี้เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์โรคระบาด เช่น โรคมาลาเรียมาก่อน ทำให้ร่างกายของผู้คนปรับตัวสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค รวมทั้งผู้คนบนเกาะเองก็ไม่ได้ติดต่อกับคนนอกเกาะมากนัก

159509957980

มาเรีย เซอร์โรนย์ (Maria Cirrone) วัย 87 และ จิโอแวนนี แอนเดรีย เมเลส (Giovanni Andre Meles) สามีของเธอวัย 93 ปี เก็บตัวเองอยู่ในบ้านตามมาตรการรักษาระยะห่าง แต่ลูกๆ ของพวกเขาตระเตรียมอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ มาให้เป็นประจำ

“แม่ของบอกฉันบ่อยว่าไม่ต้องกังวล เราเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อนครั้งนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องปกติมากสำหรับฉันและคนในครอบครัวที่จะดูแลพ่อแม่ ในอิตาลีโดยเฉพาะซาร์ดิเนียเราให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก” ลิลิอานา เมเลส (Liliana Meles) ลูกสาววัย 47 ปี ของพวกเขา กล่าว

ขยับมาใกล้ตัวกันสักหน่อยสำหรับ ‘เอเชีย บลู โซนส์ อย่างโอกินาวา ประชากรหมู่เกาะโอกินาวามีช่วงอายุขัยเฉลี่ย 65 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวที่สุดในญี่ปุ่น เมนูอาหารส่วนใหญ่ของชาวโอกินาวามีส่วนประกอบของมะระ มันหวาน ถั่ว ผัก เต้าหู้และถั่วเน่า เป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงแต่แคลอรี่ต่ำ นอกจากนี้ ชาวโอกินาวายังให้ความสำคัญกับเพื่อน มีแนวคิดจับกลุ่มเพื่อน 5 คน เป็นเพื่อนร่วมสาบานเรียกว่า โมอายเป็นสัญญาใจว่าจะคอยเกื้อหนุนกันไปตลอดชีวิต

ถึงตรงนี้หลายคนอาจไม่ได้หวังถึงการมีชีวิตที่ยืนยาว แต่การใช้ชีวิตโดยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่อยากปฏิเสธ แม้ไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอย่างสภาพอากาศและมลภาวะต่างๆ ได้ แต่สิ่งที่ควบคุมได้ คือ พฤติกรรมและทัศนคติในการใช้ชีวิตที่เริ่มจากตัวเราเอง