ธปท. ร่อน จดหมายเปิดผนึก ถึงรมว.คลัง ชี้แจงเหตุ เงินเฟ้อต่ำเป้า

ธปท. ร่อน จดหมายเปิดผนึก ถึงรมว.คลัง ชี้แจงเหตุ เงินเฟ้อต่ำเป้า

ธปท.ร่อนจดหมายเปิดผนึก ถึงรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ชี้แจงเงินเฟ้อทั่วไปในรอบ12เดือน และแนวโน้ม 12เดือนข้างหน้าต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

     นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มีการเขียน จดหมายเปิดผนึก ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง

    และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2563 และระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย นั้น

    เมื่อวันที่ 3 กรกาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์ได้เผยแพร่ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของ
เดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ -1.57ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม 2562-มิถุนายน 2563) อยู่ที่ร้อยละ -0.31 ประกอบกับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า(กรกฎาคม 2563-มิถุนายน 2564)

   ตามรายงานนโยบายการเงินเดือนมิถุนายน 2563อยู่ที่ร้อยละ -0.9 ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับปี 2563

    ดังนั้น กนง. จึงขอเรียนชี้แจงถึง (1) สาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย (2) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และ (3) การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

     สาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม 2562-มิถุนายน 2563) และประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2563-มิถุนายน 2564) ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

      การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยต้องดำเนินมาตรการควบคุมการระบาด ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวรุนแรงในปี 2563 และระยะเวลาของการฟื้นตัวยังมีความไม่แน่นอนสูง

     โดยการแพร่ระบาดในครั้งนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ลดลงมากและปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิต (supply chain disruption) รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ลดลงมากตามมาตรการควบคุมการระบาดและการว่างงานที่สูงขึ้น

     นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายหลังการแพร่ระบาดสิ้นสุดลงอีกด้วยบริบทของเศรษฐกิจโลกและไทยที่เปลี่ยนแปลงไปจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมาอย่างมาก โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม 2562-มิถุนายน 2563) อยู่ที่ร้อยละ -0.31 ปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1.04 และอยู่ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานที่ติดลบต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอลงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ปรับลดลงตามการหดตัวของเศรษฐกิจไทยที่รุนแรงกว่าคาด

    โดย กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี2563 จะหดตัวที่ร้อยละ 8.1 ลดลงจากประมาณการในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19
ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 นอกจากนี้ มาตรการของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือ
ค่าครองชีพของประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลออีกทางหนึ่งด้วย

    อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดปรับเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนตามราคา
ผักผลไม้และราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานที่ปรับลดลง โดยรายละเอียดของปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายมีดังต่อไปนี้

    (1) ปัจจัยด้านอุปทานโดยเฉพาะการลดลงของราคาพลังงานเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง โดยราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับลดลงมากสอดคล้องกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว (global oil price crash) จากอุปทานส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่ลดลงอย่างรุนแรง

    ซึ่งมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการแข่งขันด้านราคาและปริมาณการผลิตระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในช่วงต้นปี 2563 (ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนกรกฎาคม 2562-มิถุนายน 2563 อยู่ที่ 51.1 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ที่ 68.2 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล)

    ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 อาทิ มาตรการลดภาระค่าไฟของครัวเรือนเป็นเวลา 3 เดือน รวมถึงการดูแลราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศและราคาก๊าซหุงต้มผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา ปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ -8.95

    (2) ปัจจัยด้านอุปสงค์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยที่ชะลอลงตามมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลง

   โดยการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวหดตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ถดถอยและมาตรการควบคุมการระบาด ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ของครัวเรือน รวมถึงบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน

    นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้มีกำลังการผลิตส่วนเกิน(excess capacity) ในหลายอุตสาหกรรม ส่งผลให้การปรับขึ้ราคาสินค้าและบริการของภาคธุรกิจทำได้ยาก อีกทั้งภาคธุรกิจยังได้จัดรายการส่งเสริมการขาย (promotion) เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายภาครัฐที่ขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจให้ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

    (3) ปัจจัยเชิงโครงสร้างทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังได้สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มเติมจากพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

   อาทิ (1) การขยายตัวของธุรกิจ e-commerce ที่เร่งตัวยิ่งขึ้นจากการปรับตัวของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่หันมาใช้ช่องทาง online มากขึ้นในช่วงที่มีมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19

    (2) แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานในกระบวนการผลิต (automation) หลังการแพร่ระบาดของCOVID-19 เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อระหว่างลูกจ้างในกระบวนการผลิตและ
ทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำลง โดยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้เป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้ต่ำลงเพิ่มเติมจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย เป็นต้น 

    ในระยะข้างหน้า กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยอาจจะยังอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่งและยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย กนง. ประมาณการว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย12 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2563-มิถุนายน 2564) อยู่ที่ร้อยละ -0.9 

.   ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน จากแรงกดดันด้านอุปทานที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาพลังงานโลกยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และแม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด
ลงบ้างในหลายประเทศ แต่ยังคงมีการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ทำให้มีข้อจำกัดในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ

   นอกจากนี้ ราคาสินค้ายังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากมีกำลังการผลิตส่วนเกินในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกตามเศรษฐกิจโลกที่จะทยอยฟื้นตัวอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ดี ราคาพลังงานอาจมีแนวโน้มผันผวนสูงตามความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical risk)

   ส่วนราคาอาหารสดชะลอลงจากผลของฐานสูงในปี 2562 แต่ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงจากปัจจัยด้านสภาพอากาศ เช่น ภัยแล้ง ที่กระทบต่อปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรบางชนิด ขณะที่แรงกดดันด้านอุปสงค์มีแนวโน้มทยอยปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

   ส่วนหนึ่งจากมาตรการภาครัฐที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชนที่ถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ของภาครัฐ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นได้บ้างในระยะข้างหน้า

   อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาสินค้าและบริการจะปรับเพิ่มอย่างช้า ๆ จากมาตรการของภาครัฐและภาคเอกชนที่ยังคงช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กล่าวไว้ข้างต้นจะยังเป็นแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง

   นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ายังไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ความขัดแย้งทางการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทวนกระแสโลกาภิวัฒน์(deglobalization) และในที่สุดอาจส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตโลกและราคาสินค้าอย่างมีนัยสำคัญได้

    ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าการที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบไม่ได้แสดงว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (deflation risk) ในปัจจุบัน

    โดยพิจารณาจาก 4 เงื่อนไข ได้แก่ (1) ราคาสินค้าและบริการไม่ได้มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องยาวนาน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีทิศทางสูงขึ้นและเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปี 2564 (2) ราคาสินค้าและบริการหดตัวเฉพาะในบางประเภท โดยราคาของสินค้าและบริการกว่าร้อยละ 70 ของจำนวนสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว ต่างจากกรณีภาวะเงินฝืดที่ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่จะหดตัว

    (3) การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสาธารณชนในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะ 5 ปีข้างหน้าจากการสำรวจความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจล่าสุดในเดือนเมษายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามและประเมินเงื่อนไขสุดท้ายว่า

    (4) อุปสงค์และการจ้างงานจะไม่ชะลอลงยาวนานต่อเนื่องหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด โดยจะติดตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งรายได้ การจ้างงาน รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจ ตลอดจนสื่อสารกับสาธารณชนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด

   ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

   แม้ว่าประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2563-มิถุนายน 2564) จะอยู่ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย แต่ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564

   โดยแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์จะทยอยปรับดีขึ้นจากนโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและช่วยฟื้นฟูกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาอาหารสดและพลังงาน สอดคล้องกับทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่คาดว่าจะทยอยปรับดีขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง

   อย่างไรก็ดี กนง. ประเมินว่าปัจจัยด้านอุปทานทั้งจากราคาอาหารสดและพลังงานจะผันผวนสูงตามสถานการณ์ภัยแล้งและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงเศรษฐกิจโลกและไทยที่มีความไม่แน่นอนสูงในการฟื้นตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้อัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าอาจต่างไปจากที่ประมาณการไว้

   การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อช่วยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม

   ในการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (flexible inflation targeting) กนง. ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ และการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ

   ดังนั้น ในการพิจารณานโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายนั้น กนง. คำนึงถึงขนาดและสาเหตุของปัจจัยที่เข้ามากระทบ ตลอดจนบริบทและแนวโน้มของเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน เพื่อกำหนดแนวนโยบายที่จะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม

    ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 กนง. เห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่
ผ่อนคลายมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

    อย่างไรก็ดี ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มหดตัวและเสถียรภาพระบบการเงินเปราะบางมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

   โดยการส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่หดตัวและมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทั่วโลก สำหรับอุปสงค์ในประเทศโดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวจากการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการควบคุมโรคระบาดที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงมาก

    ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบและอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน ดังนั้น กนง. จึงมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากร้อยละ 1.25 ต่อปี ณ สิ้นปี 2562
มาอยู่ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 และสนับสนุนให้ดำเนินการควบคู่กับการปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development FundFee: FIDF Fee) จากร้อยละ 0.46 เป็นร้อยละ 0.23 ของฐานเงินฝากเป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายเพิ่มขึ้นและลดต้นทุนทางการเงินให้ภาครัฐและเอกชน

    รวมถึงสอดรับกับมาตรการการคลังของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไป ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ กนง. ยังสนับสนุนให้ธปท. ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและเร่งดำเนินการให้ธนาคารพาณิชย์ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ธุรกิจ รวมถึงผ่อนผันกฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินอื่น

     อาทิ การผ่อนผันการชำระหนี้โดยไม่เสียประวัติในฐานข้อมูลเครดิต และการลดภาระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม และให้ดูแลสภาพคล่องและกลไกการทำงานของตลาดการเงินเพื่อให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงและตลาดการเงิน ซึ่งจะเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้อีกทางหนึ่ง

    ในระยะต่อไป กนง. เห็นว่ามาตรการการคลัง มาตรการด้านการเงิน และมาตรการด้านสินเชื่อจำเป็นต้องประสานกันอย่างใกล้ชิดให้ตรงจุดและทันการณ์ เพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของครัวเรือนและธุรกิจไม่ให้ลุกลามและเร่งกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

   โดยมาตรการด้านการคลังจะมีบทบาทหลักที่จำเป็นต่อการสนับสนุนการจ้างงานและธุรกิจ SMEs เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรักษาศักยภาพการเติบโตในระยะต่อไป

   ขณะที่นโยบายการเงินยังจำเป็นต้องผ่นคลายไปอีกระยะหนึ่งเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง

.   ซึ่งจะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะต่อไป รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินจากปัญหาสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ

.  ทั้งนี้ กนง. จะติดตามพัฒนาการของข้อมูลทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 รวมถึงประเมินปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีผลต่อพลวัตเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางของสาธารณชน ควบคู่กับการดูแลการเติบโตทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ  

    ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่
6 ธันวาคม 2562 กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า หาก ณ เวลานั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้ายังคงเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชนเป็นการทั่วไป กนง. จะเผยแพร่สาระของหนังสือชี้แจงฉบับนี้ต่อสาธารณชนผ่านทาง website ของ ธปท. ด้วย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ