ไขปมต่างชาติทิ้ง‘หุ้นไทย’ กูรู ชี้การเมือง-นโยบายรัฐ’ไร้เสถียรภาพฉุดลงทุน

ไขปมต่างชาติทิ้ง‘หุ้นไทย’ กูรู ชี้การเมือง-นโยบายรัฐ’ไร้เสถียรภาพฉุดลงทุน

นักวิเคราะห์” ชำแหละเหตุต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง เผย 8 ปียอดสุทธิกว่า 8 แสนล้าน เฉพาะปีนี้ขายกว่า 2.2 แสนล้าน ชี้ผลจาก “การเมือง-นโยบายเศรษฐกิจ” ไร้เสถียรภาพ ฉุดรั้งการตัดสินใจลงทุน

KKP research ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้วิเคราะห์ถึง สาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 รวมมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท และยังทยอยลดการลงทุนโดยตรง (FDI) ในประเทศไทยเมื่อเทียบกับอาเซียน จากที่ไทยเคยมีสัดส่วน FDI สูงถึง 44% ในช่วงปี 2549 – 2553 ลดเหลือเพียง 14% ในปัจจุบัน

สำหรับปี 2563 นี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยถึง 2.2 แสนล้านบาท หลังตลาดหุ้นเผชิญกับความตื่นตระหนกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง กดดัชนี SET ให้ปรับตัวลดลงลึกสุดถึง 30% ในช่วงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา แม้ภาวะตลาดจะปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุด แต่ยังเห็นการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติแทบทุกสัปดาห์

เหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง สวนทางกับนักลงทุนไทย คือ ประเทศไทยดูแย่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน

ซึ่ง KKP Research มองว่า ความไม่มีเสถียรภาพด้านการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ สร้างความไม่แน่นอนในทิศทางเศรษฐกิจและฉุดรั้งการตัดสินใจลงทุน ส่งผลให้การลงทุนในประเทศอยู่ระดับต่ำ โดยเฉพาะนโยบายที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม รวมถึงรูปแบบการลงทุนของรัฐไม่ชักนำให้เกิดการลงทุนของเอกชน

เมื่อต่างชาติมีตัวเลือกในการลงทุนทั่วโลก ต่างกับนักลงทุนไทยที่เงินลงทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อจำกัดในการออกไปลงทุนต่างประเทศ รวมถึงความรู้ความเข้าใจที่ยังน้อยในตลาดของประเทศอื่น อีกทั้งคนไทยยังต้องใช้จ่ายด้วยเงินบาทเป็นหลัก จึงนิยมลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศ

ทั้งนี้ มีสถิติที่น่าสนใจว่า เมื่อความไม่แน่นอนในประเทศเพิ่มสูงขึ้นแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเกิดจากนโยบายเศรษฐกิจหรือด้านการเมือง มักส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง โดยเฉลี่ยคือเมื่อความไม่แน่นอนพุ่งสูงขึ้น (จากดัชนีชี้วัด) หลังจากนั้น 10 วัน นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกประมาณ 8,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนดูแนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทย อิงจากดัชนี MSCI Thailand Index เทียบกับประเทศอื่นๆ พบว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยแทบจะไม่เติบโต ยังคงอยู่ในระดับเดิมกับปี 2556 ขณะที่ดัชนี MSCI ของสหรัฐเติบโตกว่า 100% และดัชนีของภูมิภาคเอเชียโดยรวมโตกว่า 50%

ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงกดดันผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่อาจทำให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในอนาคตต่ำลงอย่างยาวนานหรือแม้กระทั่งถาวร

ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดต่ำมาโดยตลอด จากค่าเฉลี่ย 7% ในช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง (ปี 2540) มาอยู่ที่ประมาณ 5% ในช่วงปี 2542 – 2555 ในขณะที่ช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 3% และเมื่อมองในแง่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในประเทศที่มักจะวัดโดยรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per capita) พบว่าไทยพัฒนาได้ช้ากว่าประเทศอื่นมาก อย่างประเทศจีนซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก 20 ปีก่อนที่มี GDP per capita ที่ 959 ดอลลาร์ ต่ำกว่าไทยซึ่งอยู่ที่ 2,007 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันตัวเลขของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 10,261 ดอลลาร์ ขณะที่ไทยอยู่ที่ 7,808 ดอลลาร์

ศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ลดลงเป็นผลจากการลงทุนในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน โดยสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ของไทยอยู่ที่เพียง 20-25% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกันซึ่งมีระดับการลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 30.5% ต่อ GDP

หากพิจารณาในรายบริษัท โดยใช้ข้อมูลงบการเงินของบริษัทในตลาดหุ้นไทย จะเห็นภาพคล้ายกันว่า บริษัทไทยลดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านตัวเลขค่าใช้จ่ายการลงทุน (Capital Expenditure) ซึ่งลดลงจากค่าเฉลี่ยที่เติบโตปีละ 16% ในช่วงปี 2547 – 2552 เหลือเพียงเติบโต 1.6% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดการลงทุนลงอย่างมาก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ก่อสร้าง ขนส่ง ไอที ศูนย์กระจายสินค้า อิเลกทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ จะมีเพียงกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวที่ยังรักษาระดับการเติบโตของการลงทุน

ด้าน นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การขายอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนหนึ่งเกิดจาก Strategic shareholder อาทิ GIC ที่ลดพอร์ตการลงทุนในประเทศไทย ทำให้สัดส่วนการถือครองของต่างชาติลดลงเร็ว และอีกส่วนหนึ่งคือแรงขายจากกองทุนขนาดใหญ่

สาเหตุสำคัญที่ทำให้แรงขายยังมีต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในเชิงมูลค่า (Valuation) ของบริษัทจดทะเบียนไทยไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากการเติบโตของกำไรที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ รวมถึงนโยบายและสิทธิประโยชน์ที่ไม่ดึงดูด ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองข้ามประเทศไทยไป

“เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่หายไปไม่ได้กระทบเพียงแค่ตลาดหุ้น แต่การลงทุนทางตรง ซึ่งเราอาจจะเห็นว่าบริษัทต่างชาติขอสิทธิไว้ แต่ท้ายสุดแล้วไม่ได้เข้ามาลงทุนจริง เมื่อลองพิจารณา Active Fund ขนาดใหญ่หลายแห่ง อาจจะพูดได้ว่าเขาตัดประเทศไทยออกไปจากตัวเลือกในการลงทุน”

ทั้งนี้ โอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับมาได้แบบต่อเนื่อง อย่างแรกคงต้องเห็นกำไรของบริษัทจดทะเบียนกลับมาเติบโตได้ก่อน ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญ เพราะในขณะนี้ประเทศไทยถูกคาดการณ์จาก IMF ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจะทำได้ค่อนข้างช้า

นอกจากนี้ ปัญหาสำคัญของโครงสร้างตลาดหุ้นไทยคือ น้ำหนักของธุรกิจในอุตสาหกรรมเก่า (Old economy) มีสัดส่วนค่อนข้างมาก ซึ่งบริษัทเหล่านี้เติบโตได้ยากและช้าลง ขณะที่ธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ (New economy) ยังมีน้ำหนักและมีสภาพคล่องน้อยเกินกว่าที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนได้