‘บิ๊กล็อต’ทะลักก่อนปรับครม. ครึ่งเดือนก.ค.พุ่งแตะ 2 หมื่นล.

‘บิ๊กล็อต’ทะลักก่อนปรับครม. ครึ่งเดือนก.ค.พุ่งแตะ 2 หมื่นล.

เผยครึ่งเดือนก.ค. ยอด ‘บิ๊กล็อต’ พุ่งกระจายกว่า 2 หมื่นล้าน โดยเฉพาะวันที่ 9 ก.ค. วันเดียวร่วม 1.39 หมื่นล้าน ‘นักวิเคราะห์’ ฟันธง ‘นักธุรกิจ-นักการเมือง’ ทำรายการก่อนปรับครม. หวังเคลียร์ภาพตัวเองก่อนรับตำแหน่ง มั่นใจไร้ผลกระทบพื้นฐานหุ้น

จากข้อมูลรายการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big lot) ช่วงครึ่งเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา (1-13 ก.ค.) มีมูลค่า 2.09 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดือน มิ.ย. ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งเดือน 2.37 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนรายการเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยมีจำนวน 137 รายการ รวมมูลค่ากว่า 1.39 หมื่นล้านบาท ขณะที่โดยปกติแล้วจะมีรายการ Big lot ต่อวันประมาณไม่เกิน 20 – 30 รายการ

สำหรับหุ้นที่มีมูลค่าการทำรายการบิ๊กล็อต มากที่สุดในวันที่ 9 ก.ค. คือ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ด้วยมูลค่า 1.76 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 57.47 บาท รองลงมาคือ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มูลค่า 806.43 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 22.63 บาท และลำดับ 3 คือ บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL) มูลค่า 705.89 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 67.02 บาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา หุ้นของ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (STGT) เป็นหุ้นที่มีการทำรายการ Big lot มากที่สุดในปีนี้ ด้วยมูลค่า 1.85 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 67.09 บาท ถัดมาคือ AOT มูลค่า 1.76 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 57.47 บาท และลำดับ 3 คือCPALL มูลค่า 1.07 พันล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 67.25 บาท

นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวผ่านรายการพ็อดคาสท์ส่วนตัวว่า เมื่อมีข่าวว่าอาจจะมีการปรับครม.ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีบิ๊กล็อต เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 9 ก.ค. 2563 ออกมาพร้อมๆ กัน 80 กว่าบริษัท ซึ่งอาการแบบนี้เป็นสัญญาณว่า ผู้ที่มีแนวโน้มจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเริ่มขายหุ้นออกมาก่อน เพราะไม่แน่ในอนาคตอาจจะต้องไปรับตำแหน่งหรือหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทาน รวมถึงงานภาครัฐอื่นๆ หรือแม้แต่  นอมินีที่อาจจะต้องมีส่วนเกี่ยวพัน ก็อาจจะตัดสินใจขายหุ้นออกมาก่อนเช่นกัน

ขณะที่แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า การทำรายการบิ๊กล็อตดังกล่าว อาจเป็นลักษณะของการแยกทรัพย์สินของบุคคลภายนอกครม.ซึ่งอาจจะเข้ามารับตำแหน่งหลังจากนี้ ซึ่งในส่วนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ดี ด้วยภาพรวมของตลาดหุ้นไทยที่อ่อนแรงมาต่อเนื่อง หากการปรับ  ครม.เกิดขึ้นจริง และมีบุคคลที่นักลงทุนเชื่อถือเข้ามารับตำแหน่ง ตลาดก็มักจะตอบรับในเชิงบวก

ทั้งนี้ การทำรายการ บิ๊กล็อต จำนวนมากพร้อมๆ กันนี้ หากเป็นเพียงการแยกทรัพย์สิน ก็จะไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการถ่ายโอนหุ้นไปให้กับกองทุนส่วนบุคคล หรือบุคคลอื่นซึ่งมีหน้าในการบริหารแทนเจ้าของเดิม

บล.คันทรี่ กรุ๊ป มองว่า สิ่งที่ต้องติดตาม คือการปรับเปลี่ยนครม.หลังจากนี้ (กรณีเกิดขึ้น) หากทีมบริหารเศรษฐกิจชุดใหม่ขึ้นมาและตลาดไม่พอใจนัก อาจส่งผลให้ตลาดปรับฐานได้ ดังนั้นเชิงกลยุทธ์การลงทุนเรายังเล็งเห็นความเสี่ยงขาลง (Downside) ของตลาดมากกว่าโอกาสปรับตัวขึ้น (Upside) นักลงทุนจึงควรถือครองเงินสดระดับสูง ส่วนนักเก็งกำไรระยะสั้นเน้นเลือกหุ้นมีปัจจัยบวกและควรมีจุดตัดขาดทุนชัดเจน สำหรับการลงทุนมองจุดน่าสนใจกรณีเริ่มทยอยสะสมคือ ดัชนี SET ต่ำกว่า 1,300 จุด ลงไป

ด้าน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งสัญญาณชัดเจนว่ากำลังเข้าใกล้ช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยน ครม. เฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ทำให้การปรับ ครม. ในรอบนี้เป็นที่น่าติด ตามในฐานะที่เป็นปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการเศรษฐกิจว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ช้าหรือเร็ว นอกจากนี้ยังมีแรงผลักดันอีกส่วนหนึ่งในเรื่องการเดินหน้ามาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และจำเป็นที่ต้องได้ทีมเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็งเข้ามาเป็นผู้ขับเคลื่อน