กังวล Covid-19 ระบาดรอบสอง

กังวล Covid-19 ระบาดรอบสอง

คาดว่าดัชนีจะสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากความคืบหน้ายารักษา Covid-19

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index  ลดลง 8 จุด (-0.60%) ปิดที่ระดับ 1,342 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท นักลงทุนเทขายหุ้นกังวลไวรัส Covid-19 กลับมาระบาดในไทยอีกครั้ง (Second wave) โดยศบค.ยอมรับไทยมีความเสี่ยงเกิดการระบาดรอบใหม่หลังตรวจพบมีผู้ป่วย Covid -19 จำนวน 2 ราย มีประวัติเดินทางไปหลายสถานที่ก่อนตรวจพบเชื้อ ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 423  ล้านบาท และ Net TFEX SET50 -210 สัญญา แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,157 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบ 1,330 - 1,335 จุด จากความกังวลว่าสหรัฐอาจใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้งหลังผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียสั่งปิดสถานประกอบการบางประเภท เช่น บาร์และโรงภาพยนตร์ หลังยอดติดเชื้อ Covid-19 พุ่งขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความกังวล Covid-19 จะกลับมาระบาดรอบ 2 ในประเทศไทยหลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นและอาจขยายวงในช่วง 14-21 วันหลังจากนี้ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงจากกระแสข่าวกลุ่มโอเปกพลัสอาจพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันขึ้นในการประชุมวันที่ 15 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีจะสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากความคืบหน้ายารักษา Covid-19 หลังบ.ไฟเซอร์ อิงค์ ของสหรัฐ และ BioNTech ของเยอรมนี ได้รับสถานะ "fast track" จากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ส่งผลให้การพัฒนาวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มอาหาร (TU, CPF, GFPT, TFG) และ กลุ่มอิเล็คฯ (KCE, DELTA, HANA, SVI) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น  (TOP, PTTGC, SPRC, SCC, BGRIM, CKP, CPF, TU, TASCO, STA, STGT, SPALI, PRM, PTL, AJ, STARK, CBG)
  • กลุ่ม Defensive ในช่วงตลาดผันผวน ( INTUCH, TTW, DIF)

หุ้นแนะนำวันนี้

  • TU (ปิด 13.7 ซื้อ/เป้า 15.3) ได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและเงินยูโร ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการ 2Q20 คาดมีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32%qoq (ดีกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้าที่ 900-1000 ล้านบาท) นอกจากนี้ราคายังมี downside จำกัด เพราะมี P/E ต่ำเพียง 13 เท่า คิดเป็น -2SD
  • WICE (ปิด 3.54 ซื้อ/เป้าสูงสุด IAA Consensus 3.90) เป็นหนึ่งผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์จาก Covid-19 กระแส WFH หนุนยอดส่งออกสินค้าโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดโดยเฉพาะการขนส่งผ่าน Air freight และดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นยังหนุนให้ธุรกิจขนส่งข้ามประเทศ (CBS) พลิกมีกำไรจากที่ขาดทุนสุทธิในปีที่ผ่านมาปัจจัยนี้จะช่วยหนุนให้งบ 2Q20 มีโอกาสเพิ่มขึ้นทำ new high

บทวิเคราะห์วันนี้

IRPC (ปิด 2.7 ปรับลดเป็นขาย/เป้าใหม่ 2.4 เดิม 3.2)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) กังวลไวรัส Covid-19 กลับมาระบาดรอบใหม่จะยังกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องอีกในวันนี้: วานนี้ SET Index ถูกเทขายในช่วงเปิดตลาดภาคบ่ายเนื่องจากนักลงทุนกังวลไวรัส Covid-19 กลับมาระบาดรอบใหม่ในไทยหลังจาก ศบค.ออกมายอมรับว่ามีผู้ป่วยที่ติดเชื้อ Covid-19 จำนวน 2 ราย คือ ทหารอียิปต์ และ เด็กที่มากับคณะทูตซูดาน มีประวัติการเดินทางออกนอกพื้นที่ State Quarantine โดยเฉพาะทหารอิยิปต์มีการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะหลายแห่งในจังหวัดระยอง ประเด็นนี้จึงกลายเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 รอบใหม่ในไทย ดังนั้นตามหลักของระยะเวลาการแพร่เชื้อทำให้ไทยต้องเฝ้าระวังอย่างน้อย 14 วัน เพื่อติดตามว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะพบการติดเชื้อในไทยหรือไม่ ปัจจัยนี้จึงเป็น Overhang กดดันบรรยากาศการลงทุนในช่วงสั้นต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Domestic ที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าปลีกต่างๆ
  • (-) ดาวโจนส์ผันผวน แม้จะมีความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนแต่ก็ถูกกดดันจากข่าวที่รัฐแคลิผร์เนียกลับมาใช้มาตรการ lockdown: วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในการซื้อขายช่วงแรกเนื่องจากนักลงทุนตอบรับข่าวบริษัท Pfizer ของสหรัฐ และ BioNTech ของเยอรมันได้รับสถานะ Fast track จากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ทำให้ทั้ง 2 บริษัทสามารถพัฒนาวัคซีนได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามดัชนีกลับมาลดลงแรงในช่วงท้ายหลังจาก ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย สั่งการให้ทุกเขตในรัฐ ปิดบาร์ ภัตตาคารที่นั่งรับประทานภายในร้าน โรงภาพยนตร์ และโรงกลั่นไวน์ เพื่อสะกัดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่รัฐนิวยอร์ก ออกคำสั่งที่เข้มงวดขึ้นเพื่อตรวจสอบประชาชนที่เดินทางมาจากรัฐที่มีผู้ติดเชื้อ Covid-19 จำนวนมาก
  • (+/-) ตลาดน้ำมันพักตัวรอดูผลประชุมของกลุ่ม OPEC ในวันที่ 14-15 ก.ค.ว่าจะขยายเวลาลดกำลังการผลิตต่อหรือไม่: แม้การประชุมในครั้งนี้จะเป็นเพียงการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มประเทศสมาชิก OPEC ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวไม่มีอำนาจในการลงนามให้ OPEC ลดหรือเพิ่มกำลังการผลิต แต่คณะกรรมการสามารถเสนอแนวทาง สำหรับให้ผู้นำของแต่ละประเทศในกลุ่ม OPEC เห็นชอบในหลักการได้ดังนั้นการประชุมในวันที่ 14-15 จึงมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันในตลาดได้เช่นกัน เนื่องจากมาตรการลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 ก.ค. ดังนั้นหากที่ประชุมไม่ขยายเวลาการลดกำลังการผลิตออกไปอีก เท่ากับว่าตั้งแต่เดือน ส.ค.เป็นต้นไป OPEC จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวันไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบเข้ามากดดันราคาน้ำมันโดยเฉพาะหากดีมานด์ฟื้นตัวช้ากว่าที่มีการคาดการณ์กันไว้