STIเตรียมปิดดีล ซื้อกิจการปีนี้เพิ่มอีกราย

STIเตรียมปิดดีล ซื้อกิจการปีนี้เพิ่มอีกราย

“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” คาดรายได้ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้ามีโอกาสแตะระดับ 2,000 ล้าน ขณะปีนี้ที่คาดเติบโต 80% จากปีก่อน หรือราว 1,300-1,500 ล้าน เหตุทยอยรับรู้รายได้เพิ่มจากบริษัทย่อย AEC-ประมูลงานใหม่เพิ่ม พร้อมจ่อปิดดีลซื้อกิจการอีก 1 ดีลภายในปี

นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่ารายได้ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (ปี 2563-2567) มีโอกาสแตะระดับ 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจะรับรู้รายได้เพิ่มจากบริษัทย่อย คือ บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC ที่บริษัทเพิ่งเข้าซื้อกิจการเข้ามารับรู้ตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 และจะรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป ซึ่งส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ช่วยสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ในส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 80% จากปีก่อนที่ทำได้ 727 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมี Backlog รวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องและจะมีการเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มขึ้นทั้งงานในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ Backlog มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับ 5,000 ล้านบาทภายในช่วงสิ้นปีนี้

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานที่เตรียมเข้าประมูลอีกหลายโครงการ เช่น โครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งคาดว่ามีโอกาสได้งานประมาณ 70%, งานโครงการขนาดใหญ่ของภาคเอกชนในกรุงเทพฯประมาณ 4-5 โครงการ มูลค่างานละประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ,โครงการอาคารประเภทผสม (mixed use) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาอยู่ 6-7 โครงการ โดยมีสัดส่วนงานของ STI มูลค่าประมาณ 300-400 ล้านบาท รวมถึงงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, มอเตอร์เวย์ และรถไฟรางคู่ เป็นต้น

ส่วนสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยืนยันไม่กระทบการดำเนินงานโครงการของบริษัท แต่ส่งผลให้โครงการขนาดเล็กและขนาดกลางชะลอตัวไปบ้าง รวมถึงต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างลดลงเฉลี่ยราว 10-15% ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะลดลงไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย

“จากการเติบโตดังกล่าวจะมาจาก STI และการควบรวมกิจการ AEC รวมทั้งบริษัทยังมีฐานลูกค้าหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีเงินสดคงเหลือสูงเพื่อรองรับการขยายกิจการ มีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.56 เท่า โดยกำหนดเพดานไม่เกิน 2 เท่า และมีอัพไซด์จากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม”

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่าปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนประเมินมูลค่าทางบัญชีหรือดิวดิลิเจนซ์ โดยมองว่าบริษัทดังกล่าวมีศักยภาพการเติบโตที่ดีและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีขนาดที่อยู่ระดับกลางๆ แต่เล็กกว่าบริษัท AEC ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนและจบดีลได้ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ในส่วนของเงินทุนนั้นบริษัทยังมีเงินจากการขายหุ้นไอพีโอเหลืออยู่ประมาณ 40-50 ล้านบาท