"กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ (13 ก.ค.63)

"กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ (13 ก.ค.63)

13-17 กรกฎาคม: เรายังมองเป็นลบ แนวโน้มแกว่งลงต่อ

มุมมองตลาดหุ้นสัปดาห์นี้: ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นเริ่มแสดงอาการอ่อนแรง และเกิด correction อย่างชัดเจนในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดเอาไว้ ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก และหุ้นที่โยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจถูกกดดันจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 ที่เร่งตัวขึ้นและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของสหรัฐว่าอาจจะต้องมีการใช้มาตรการ lockdown ในสหรัฐอีกครั้ง สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (13-17 กรกฎาคม) เรายังคงมองลบกับทิศทางของดัชนี SET และแนะนำให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับตลาดที่น่าจะปรับลงต่ออีก ถึงแม้ว่าหุ้นสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาจากรายงานทางการแพทย์ล่าสุดของ Gilead Sciences ที่ระบุว่ายา Remdesivir มีประสิทธิภาพในการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่ วย COVID-19 แต่ข่าวนี้ก็ไม่น่าจะหักกลบกับยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญได้โดยเฉพาะในสหรัฐ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของสหรัฐเร่งตัวขึ้นเป็น 72,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ก็เริ่มจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทรงตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันอาทิตย์ รัฐ Texas ก็เป็นรัฐแรกที่พูดว่าอาจจะมีการใช้มาตรการ lockdown อีกถ้าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดเลวร้ายลงไปกว่านี้ ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเช่น ยอดค้าปลีก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนก็อาจจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าความแรงของการเกิด correction รอบนี้จะอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายตัว ประเด็นแรกก็คือตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของจีนที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งตัวเลขส่วนใหญ่น่าจะออกมาน่าประทับใจเมื่อเทียบกับมาตรฐานโลกใน 2Q63 ดังนั้น ภาวะตลาดหุ้นเอเชียจึงน่าจะดีขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ประเด็นที่สองก็คือสภาพคล่องในประเทศที่ยังท่วมตลาดทั้งจากฝั่งของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจนใกล้ศูนย์ และข้อมูลอัตราการเติบโตของ M2 ล่าสุดของไทยที่สูงถึงกว่า 10% YoY ประเด็นสุดท้ายก็คือนักลงทุนน่าจะยังรอติดตามผลประกอบการ 2Q63 ของกลุ่มธนาคารไทยในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะในส่วนของแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ และ NPLs

ธีมการลงทุน ปัจจัย และกระแสข่าวที่กระทบกับตลาด:

(-) ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลกยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง การที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมถึงในสหรัฐ บราซิล และอินเดีย เร่งตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงสุดสัปดาห์ทีผ่านมาทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าบางรัฐในสหรัฐจะถูกบีบให้กลับมาใช้มาตรการ lockdown อีกครั้ง ซึ่งยิ่งมีความกังวลเรื่องการ lockdown ในสหรัฐมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันตามหุ้นที่เกี่ยวโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลกมากเท่านั้น ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีของไทยด้วย

(0/+) สัปดาห์นี้จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของจีนออกมาหลายตัว นอกจากตัวเลขดุลการค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนแล้ว ในสัปดาห์นี้จีนยังจะประกาศตัวเลข GDP 2Q63 ในวันที่ 16 กรกฎาคมด้วย โดย Consensus คาดว่าจะขยายตัว 1.5% YoY ซึ่งดูดีกว่า
เศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งคาดกันว่า GDP 2Q63 ของประเทศต่าง ๆ น่าจะติดลบอย่างหนัก YoY

ธีมหุ้นที่เราสนใจ:

การกลับมาเปิดประเทศแบบมีเงื่อนไขให้นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ป่วยต่างชาติจะส่งผลดีกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าจะมีการเลื่อนแผน travel bubble แบบทวิภาคีออกไปเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในกลุ่มประเทศเป้าหมาย แต่ประเทศไทยก็ยังคงเดินหน้า
แผนการอนุญาตให้นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ป่วยต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้แบบมีเงื่อนไข ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และโรงพยาบาลอย่างเช่น AMATA*BDMS* และ EKH นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้เน้นเลือกลงทุนในหุ้นบางตัวที่มีแนวโน้มผลประกอบการ 2Q63 แข็งแกร่ง อย่างเช่น โรงกลั่น อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์บางตัว เพราะคาดว่าหุ้นประเภทนี้อย่างเช่น TOP* ESSO* CPF* และ DELTA* น่าจะยัง outperform ตลาดต่อไป