'ตลาดหุ้นไทย' ยังคงถูกกดดัน

'ตลาดหุ้นไทย' ยังคงถูกกดดัน

ในสถานการณ์ที่เรากำลังรอการฟื้นตัว และรอการมาของวัคซีน ตลาดหุ้นน่าจะยังผันผวนเนื่องจากกำไรของบริษัทยังหดตัว ฉะนั้นนักลงทุนยังคงต้องตั้งการ์ดเช่นกัน เมื่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นนั้นขยับวิ่งขึ้นมาใกล้ระดับราคาหุ้นต้นปี

ตลาดหุ้นไทยหลังจากผ่านเดือนพฤษภาคมมาอย่างสวยหรู สร้างผลตอบแทน 1 เดือน เท่ากับ 3.23% ลบสโลแกน “Sell in May and Go away!” ไปได้ แต่ตลาดหุ้นไทยก็ไม่สามารถไปไหนได้ไกล มีการเทขายทำกำไรหุ้นเป็นระยะๆ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยยังต่ำ นักลงทุนยังคงรอดูตัวเลขเศรษฐกิจ และอัตราการฟื้นตัวของตัวเลขต่างๆ โดยมูลค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยประมาณ 22.4 เท่า และ 16.7 เท่าสำหรับคาดการณ์กำไรปี 2563 และ 2564 ตามลำดับ

ตรงกันข้าม สินทรัพย์ที่ใช้วัดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของโลก ไม่ว่าราคาทองคำที่สร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ไปถึง 1,800 เหรียญสรอ. หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 5 ปีก็ยังคงต่ำซึ้อขายที่อัตราผลตอบแทน 0.2743% นอกจากนี้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เกรดต่ำเทียบกับอัตราผลผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุเท่ากันยังคงกว้างถึง 6% เทียบกับภาวะปกติราว 2% เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงสร้างพอร์ตลงทุนค่อนข้างไปทางระมัดระวังต่อทิศทางเศรษฐกิจไปข้างหน้า 6-12 เดือน

ในสถานการณ์ที่เรากำลังรอการฟื้นตัว และรอการมาของวัคซีน ตลาดหุ้นน่าจะยังผันผวนเนื่องจากกำไรของบริษัทยังหดตัว และมีน้อยบริษัทมากที่สามารถประคองตัวหรือเติบโตได้ ฉะนั้นนักลงทุนยังคงต้องตั้งการ์ดเช่นกันเมื่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นนั้นขยับวิ่งขึ้นมาใกล้ระดับราคาหุ้นต้นปี ซึ่งถือว่าเป็นระดับก่อนเกิดการระบาดไวรัสรอบนี้

ในทางกลับกัน นักวิเคราะห์ Morgan Stanley คาดว่าเศรษฐกิจของโลกอาจต้องใช้เวลาอีก 2 ปีกว่าจะสามารถกลับไปเท่าระดับเดิมก่อนไวรัสระบาด รวมถึงทีมนักวิเคราะห์บล.บัวหลวงก็ประเมินว่า กำไรรวมของตลาดหุ้นไทยอาจต้องใช้เวลาไปจนถึงสิ้นปี 2564 เช่นกันที่จะเท่ากับระดับก่อนไวรัสระบาด

ความเห็นของแพทย์ต่อการระบาดไวรัส โดยธรรมชาติย่อมต้องมีการระบาดอีกใน 3 ระลอกก่อนที่ทำให้เกิด herd immune ในสังคม ซึ่งประชาชนต้องได้รับเชื้อไวรัสไปถึงระดับ 70-80% หากเปรียบกับปัจจุบัน ประชากรสังคมโลกน่าจะอยู่ราว 7.8 พันล้านคน เฉพาะเอเซียนั้น ประชากรคือ 4.6 พันล้านคน การติดเชื้อไวรัสของคนทั่วโลกในระดับ 2.5 ล้านคนนั้นดูน้อยมากเลยทีเดียว

นักลงทุนควรยังผสมพอร์ตการลงทุนระหว่าง กองทุนประเภทโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทนทานกับเศรษกิจขาลง เนื่องจากรายได้ไม่แกว่งตัวมากนัก รวมถึงมีเงินปันผลในระดับ 3.5-8% กับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตได้ดีใน 6-24 เดือนข้างหน้า หากนักลงทุนท่านใดสนใจอยากลงทุนในแนวทางนี้ และต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อ บล. บัวหลวง ได้ที่เบอร์ 02-681-1111