โบรกชี้ ‘หุ้นไทย’ จ่อพักฐาน สารพัดปัจจัยกดดัน-กำไรบจ.ดิ่งหนัก

โบรกชี้ ‘หุ้นไทย’ จ่อพักฐาน สารพัดปัจจัยกดดัน-กำไรบจ.ดิ่งหนัก

บล.เอเชีย พลัส ประเมินดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 3 ส่อ ‘พักฐาน’ เหตุสารพัดปัจจัยกดดัน ทั้งโควิดระบาดรอบสองในหลายประเทศ ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเมินกำไร บจ. ช่วงไตรมาส 2 ส่อวูบหนัก เสี่ยงถูกหั่นคาดการณ์อีกรอบ คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250-1,420 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 มีโอกาสสูงที่จะปรับฐาน เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงกดดันหลายเรื่องทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบสองในหลายประเทศ ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว 

นอกจากนี้ ผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในงวดไตรมาส 2 ปี 2563 ที่จะประกาศออกมาติดลบกว่า 15% รวมถึงแรงกดดันจากแนวโน้มการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ของกลุ่มนักวิเคราะห์ลงอีกรอบ

ทั้งนี้กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1ปี2563 ที่ทำได้ระดับ 1.06 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับปกติที่เฉลี่ยอยู่ประมาณไตรมาสละ 2 แสนล้านบาท ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้บจ.สามารถทำกำไรได้เพียง 2 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 30% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2563 ที่ประเมินไว้ระดับ 6.88 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ระดับ 64 บาทต่อหุ้น และทำให้ในครึ่งหลังของปีจะต้องทำกำไรให้ได้ตามสัดส่วนที่เหลืออีกกว่า 70% ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมาก จึงเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะถูกปรับลดประมาณการลงอีกครั้ง

159421523732

ขณะที่เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นคาดว่าจะชะลอตัวลงเช่นกัน เนื่องจากเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันที่หายไปหลังจากไม่มีแรงผลักดันจากกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ (SSFX) ที่หมดไปตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือน มิ.ย.2563แล้ว ซึ่งยอดสุทธิของกองทุนดังกล่าว (วันที่ 30 มิ.ย.63) อยู่ที่ระดับ 8,803 ล้านบาท ส่วนของทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติมองว่ายังมีสัญญาณไหลออกต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันหุ้นไทยค่อนข้างแพง เทรดกันพี/อีที่ 20.6 เท่า สูงสุดในภูมิภาค 

ประกอบกับอัตราการเติบโตของกำไรที่น้อยสุดในภูมิภาคเช่นกัน ซึ่งคาดว่าปีนี้จะติดลบ 27.5% และปีหน้าเป็นบวกราว 21% อย่างไรก็ตามประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้น่าจะอยู่บริเวณ 1,250-1,420 จุด

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ยังต้องติดตามดูว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะกระทบต่อกำไรบจ.ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 อย่างไร แต่ยอมรับว่าคงกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างแน่นอน ส่วนจะมากหรือน้อยต้องดูเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมไป 

ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจากกรณีหมดกองทุน SSFX นั้นเชื่อว่า ไม่ได้มีผลมากนัก เนื่องจากมองว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันในประเทศยังมีอยู่จำนวนมาก เพราะอานิสงส์จากทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำทำให้มีคนหันมาลงทุนในกองทุนรวมและเปิดบัญชีหุ้นมากขึ้น

อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นด้วยว่า ภาครัฐควรต่อเวลาสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีแก่กองทุน SSFX เนื่องจากมองว่าช่วงเวลาที่เปิดขายก่อนหน้านี้มีระยะสั้นเกินไป และหากมีการขยายระยะเวลาจะช่วยให้คนมีการออมระยะยาวมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมให้คนมีการออมระยะยาวและหากมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแบบถาวรก็ยิ่งดี สะท้อนได้จากที่ผ่านมากองทุน SSFX เข้ามาช่วยให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้นและลดความผันผวนน้อยลง อย่างไรก็ตามกรอบระยะเวลาในการขยายการซื้อขายและสิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องขึ้นกับภาครัฐบาลว่าจะพิจารณาอย่างไร