คาดเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้น

คาดเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้น

สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดบวกกว่า 41.9 จุด หรือคิดเป็น +3.2% โดยได้ปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ฟื้นตัว

หลังจากสหรัฐเผยตัวเลขเศรษฐกิจสดใสหลายรายการซึ่งแสดงถึงสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่วันศุกร์ดัชนีอ่อนตัวลงเล็กน้อยก่อนเข้าสู่วันหยุดยาว 3 วัน ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,372.27 จุด (-1.86 จุด) Volume 7.1 หมื่นลบ. ต่างชาติ +383.71 ลบ. TFEX Net -7,124 สัญญา ตราสารหนี้ +10 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 459.67 จุด +1.78% หลังดัชนีภาคบริการของสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนมิ.ย. และจากตลาดหุ้นจีนที่ทะยานขึ้นกว่า 5%

+ ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐดีดตัวแข็งแกร่งแตะ 57.1 ในเดือนมิ.ย. หลังคลายล็อกดาวน์

+มาร์กิตเผยดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะ 47.9 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 37.5 ในเดือนพ.ค.

+ กระทรวงพาณิชย์ เผย CPI เดือน มิ.ย.63 หดตัว -1.57% YoY เฉลี่ย 6M63  CPI  -1.13%

โดยปรับคาดการณ์เงินเฟ้อปี 63 เป็น -1.5% ถึง -0.7% จากเดิม -1% ถึง -0.2%

-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลงเล็กน้อย 2 เซนต์ -0.05% ปิดที่ 40.63 ดอลลาร์/บาร์เรล กังวลจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ตลาดได้แรงหนุนจากมุมมองบวกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และข่าวซาอุดีอาระเบียปรับขึ้นราคาขายน้ำมันดิบ

-สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดต่อเนื่องลุกลามไปแล้ว 213 ประเทศ ส่งผลให้มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 11.7 ล้านราย เสียชีวิตเกือบ 5.5 แสนราย สหรัฐติดเชื้อทะลุ 2,900,000 ราย เสียชีวิตกว่า 130,000 ราย

-ปธน.ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติสหรัฐ 4 ก.ค. โทษจีนต้องรับผิดชอบที่ล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

-โกลด์แมนแซคส์ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปีนี้ เป็น -4.6% จากเดิม -4.2%

-ญี่ปุ่นเผยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนพ.ค.ร่วงลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์

+ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดพุ่งขึ้น 180.07 จุด +5.71% เช้าเปิด +48.07 จุด

+ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 407.96 จุด +1.83% เช้าเปิด -64.54 จุด -0.28%

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 2.19 แสนลบ. ค่าเงินบาท 31.10 บาท/US

*จับตาสภาผู้ส่งออกแถลงสถานการณ์การส่งออก ส่วนสหรัฐเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนพ.ค.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจีนเริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับความหวังที่ว่า ทางการจีนจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ประกอบกับดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนมิ.ย. คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,365-1,390 จุด

หุ้นรายงานพิเศษ

หุ้น IAA Consensus แนะนำ

ADVANC  ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งทำ จ่ายปันผลต่อเนื่อง ได้ประโยชน์จาก Work From Home การใช้งานบริการอินเตอร์เน็ต WiFi ในช่วงไวรัส COVID-19 ระบาด

CK ภาครัฐเริ่มมีการกลับมาเปิดประมูลโครงการใหญ่ๆหลายโครงการ

CPALL ร้านค้าสะดวกซื้อซึ่งจะฟื้นตัวได้ดีที่สุด และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

CPF ราคาเนื้อสัตว์สูงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ชดเชยเงินบาทแข็งได้

INTUCH ปันผลสูงและกระแสเงินสดมั่นคง

  

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน” (ERW CENTEL AOT AAV BA ASAP)
  • หุ้น Defensive Stock (ADVANC INTUCH DIF TTW BEM BTS CHG BCH)

หุ้นมีข่าว   

(+) CK (Bloomberg Consensus 23)  ร.ฟ.ท.มั่นใจปีนี้เปิดประมูลรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้น วงเงินกว่า 1.52 แสนล้านบาท เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 8.5 หมื่นล้านบาท และบ้านไผ่-นครพนม 6.6 หมื่นล้านบาท ล่าสุดผ่าน EIA-ออกพ.ร.ฎ.เวนคืนแล้ว พร้อมเร่งประมูลทางคู่เฟส 2 ที่ค้างท่ออีก 7 เส้นทาง รอ สศช.พิจารณาก่อนชง ครม.” (ที่มา ข่าวหุ้น)

ความเห็น CK มีศักยภาพในการประมูลงานรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงของ และบ้านไผ่-นครพนม เนื่องจากเป็นการก่อสร้างต่อจากสายชุมทางจิระ-ขอนแก่น ทั้งนี้บริษัทสนใจเข้าร่วมชิงงาน รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้และส้มตะวันตกมูลค่ารวม 1.74 แสนล้านบาท งานก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์มูลค่า 4 พันล้านบาท เพื่อเพิ่ม Backlog อย่างต่อเนื่อง เราจึงแนะนำ "ซื้อ

(+) EPG (Bloomberg Consensus 6.16 บาท)  มั่นใจผลงานไตรมาส 1/63 (เม.ย.-มิ.ย. 63) มีกำไร อวดธุรกิจ EPP ยอดขายเพิ่ม แม้ธุรกิจ AEROKLAS รับผลกระทบจากยอดผลิตรถยนต์ลดลง พร้อมคงเป้ายอดขายปี 63/64 อยู่ที่ 9 พันล้านบาท (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) TMB (Bloomberg Consensus 1.12 บาท)   ไตรมาส 2 จ่อกำไรกว่า 4 พันล้าน เพิ่มขึ้น 106.9% เติบโตเด่นสุดปีนี้ ด้านกลุ่มไอเอ็นจีสั่งคุมเข้มหนี้เสีย หลังโอนเอ็นพีแอล "การบินไทย" จากธนาคารธนชาตกว่า 3 พันล้านฝ่ายบริหารมั่นใจคุมได้ตั้งสำรองฯ ล้นทุกไตรมาส ยันสิ้นปี 63 มีจ่ายปันผลแน่นอน เตรียมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ธนาคารทหารไทย-ธนชาต" ราคาเป้าหมาย 1.30 บาท (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+/-) IRPC (Bloomberg Consensus 2.99 บาท)   เร่งปรับแผนรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ มั่นใจแผนระยะยาว 5 ปี สร้างผลประโยชน์ตอบแทนกว่า 5 พันล้านบาท ฟากโบรกฯ ชี้ไตรมาส 2 ฟื้น! รับแรงหนุนค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น แนะนำ ถือ” ราคาเป้าหมายใหม่ 2.80 บาท (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) DOD (Bloomberg Consensus - บาท) "ธนิน ศรีเศรษฐี" ซีอีโอ DOD คนใหม่ โชว์วิสัยทัศน์มุ่งยกระดับบริษัทเป็นแบรนด์ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพและผลิตภัณฑ์ความงามระดับสากล ชูกลยุทธ์ผนึกกำลัง 2 ธุรกิจ DOD-PCCA ใช้ฐานลูกค้าร่วมกัน หนุนยอดขายเพิ่มขึ้น จ่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ รับยุค New Normal  (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) BAM (Bloomberg Consensus  25.82 บาท)  ชี้แนวโน้มหนี้เสียเพิ่มจริง แต่ไม่ถึงขั้นพุ่งถล่มทลาย เชื่อแบงก์ยังจัดการได้ ทั้งยืดหนี้ ปรับโครงสร้าง ส่งผลดีบริษัททยอยรับทรัพย์ไม่ต้องเร่ง ชี้สื่อสารออนไลน์ได้ผลไม่แพ้ออฟไลน์ ส่วนการปลดล็อกเฟส 5 ส่งผลดี เร่งดีลตรงกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพซื้อหนี้ โบรกเคาะเป้า 29.50 บาท (ที่มา ทันหุ้น)

(+) PTG (Bloomberg Consensus 18.85 บาท) คาดยอดขายครึ่งหลังโตเด่น หลังรัฐปลดล็อกดาวน์คนแห่เดินทางท่องเที่ยวดันปริมาณขายช่วงที่เหลือปีนี้ยืนเหนือ 15-17% แนวโน้มราคาน้ำมัน-ค่าการตลาดกลับมาฟื้นตัวหนุนผลงานทั้งปียังเติบโต ล่าสุดผุดบริการจัดส่งน้ำมันฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เอกสิทธิ์เฉพาะลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่มีวันหมดอายุ (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SPA (Bloomberg Consensus 7.56 บาท) ยิ้มรับยอดผู้เข้าใช้บริการสปาตั้งแต่เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังปลดล็อก ฟากบิ๊กบอส "วิบูลย์ อุตสาหจิต" เผยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 60-70% เชื่อเปิดน่านฟ้านักท่องเที่ยวไหลเข้าไทย ชี้หากครึ่งปีหลังเข้าสู่ภาวะปกติ คาดผลงานไตรมาส 4/63 ฟื้น ฟากโบรกเพิ่มน้ำหนักเป็น "ซื้อเก็งกำไร" เคาะราคาเหมาะสมปีนี้ 7.80 บาท (ที่มา ทันหุ้น)

(+) TFG (Bloomberg Consensus 5.02 บาท)  ทิศทางครึ่งปีหลัง 2563 เป็นบวกมากขึ้น หลังคลาย Lockdown ส่งออกยุโรปเริ่มปรับตัวดีขึ้น เผยตลาดสุกรดีมานด์ยังสูงในจีน-เวียดนาม ขณะที่ส่งออกไก่ไปจีนปีนี้มากกว่าเป้า มีลุ้นได้ส่งออกตลาดอาหารแช่เย็นเพิ่มในยุโรป Q4/2563 จับตาการระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19 หากคุมอยู่เชื่อผลงานโตต่อเนื่อง (ที่มา ทันหุ้น)