‘ละตินอเมริกา’ สนามประลองอำนาจจีน-สหรัฐ

‘ละตินอเมริกา’ สนามประลองอำนาจจีน-สหรัฐ

“ละตินอเมริกา” ภูมิภาคที่อยู่ติดกับสหรัฐ แต่กลับเป็นคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดจีน และเป็นภูมิภาคดาวรุ่งที่คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะพุ่งแรงในศตวรรษ 21 ตอนนี้ได้รับผลกระทบหนักจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยากเกินกว่าจะคาดการณ์ว่าจะกลับมาฟื้นตัวเมื่อไหร่ 

มากาเร็ต เมเยอร์ส ผู้อำนวยการโครงการเอเชียและละตินอเมริกาศึกษาของสถาบัน Inter-American Dialogue กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “ภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างสหรัฐ-จีน ที่มีต่อละตินอเมริกา ภายใต้สถานการณ์โควิด-19” ว่า  แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ลดลง เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคละตินอเมริกา แหล่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จีนเข้าไปลงทุนไว้ ตั้งแต่ปี 2558 ในหลายด้าน ตั้งแต่ถนนในเมือง ซุปเปอร์ไฮเวย์ วางระบบไฟฟ้า และสาธารณูปโภค

159405214148

ขณะเดียวกัน จีนในฐานะศูนย์กลางการเป็นแหล่งผลิตสินค้าและซัพพลายเออร์ขนาดใหญ่ของโลก เมื่อการผลิตเกิดชะลอตัวย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งก็หนีไม่พ้นประเทศในละตินอเมริกา เพราะต้องพึ่งพาสินค้าประเภทเครื่องจักร และเทคโนโลยีจากจีน

หลังการระบาดของโควิด-19 ถึงแม้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ แต่น่าจะเห็นรูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยคาดว่าจีนจะเน้นภาคการลงทุนที่อยู่ในยุทธศาสตร์อันดับต้นๆ ของประเทศในภูมิภาคละตินอเมริกา ได้แก่ พลังงาน และเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G เป็นต้น 

“แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในละตินอเมริกานั้นขึ้นอยู่กับจีนเป็นหลัก เนื่องจากหลายประเทศในละตินอเมริกายังต้องพึ่งพาจีน ดั่งจะเห็นว่า การลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานบางรายการ มีเพียงจีนให้ความสนใจลงทุนเป็นเจ้าเดียว” เมเยอร์ส กล่าว

เว็บไซต์วิเคราะห์นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐ CIP America เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับแนวคิดของจีนที่มีต่อแผนการลงทุนในประเทศแถบละตินอเมริกาว่า ก็เพื่อต้องการเข้าไปเป็นผู้ลงทุนหลักในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจขุดเจาะน้ำมันดิบ ซึ่งเหล่าผู้นำละตินอเมริกาต่างก็เปิดประตู ด้วยความหวังอยากให้จีนเข้ามาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ แม้ว่าจะเสี่ยงขัดแย้งกับสหรัฐมากกว่าเดิมก็ตาม 

หนึ่งในข้อสังเกตที่ระบุในรายงาน เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับละตินอเมริกา เดิมหลายประเทศในละตินอเมริกาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและแร่อื่นๆ ส่งไปยังจีน แล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นความสัมพันธ์ทางการค้าที่ซับซ้อน โดยเฉพาะเวเนซุเอลาหันเหไปทำการค้ากับจีนอย่างเต็มตัว ส่วนหนึ่งมาจากการเมืองภายในประเทศของเวเนซุเอลา และความสัมพันธ์ที่มีต่อสหรัฐเริ่มถดถอย ทำให้เวเนซุเอลาเปลี่ยนข้างมากระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนมากขึ้น โดยที่เวเนซุเอลาได้รับเครดิต ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและบ้านพักการเคหะจากจีนเป็นมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับน้ำมันส่งให้กับจีน

159405240212

หากแต่ตอนนี้ ภูมิภาคละตินอเมริกายังคงเป็นฮอตสปอตการแพร่ระบาดโควิด-19 ของโลก โดยเว็บไซต์ Worldometer รายงานข้อมูลประจำวันที่ 6 ก.ค.2563 พบว่า บราซิลมีติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1,604,585 คน เม็กซิโก 275,000 ราย โคลอมเบีย 117,000 ราย เวเนซุเอลา 7,169 ราย และเอกวาดอร์ 6,1958 ราย ซึ่งรัฐบาลของแต่ละประเทศต่างนำงบประมาณส่วนใหญ่ไปจัดการและรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่บริบทความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกละตินอเมริกากับจีนก็ยังคงอยู่ แต่ชะลอการลงทุนออกไป

เมเยอร์ส มองว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายและเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้นในปีหน้า คาดได้เห็นจีนเข้าเกียร์เดินหน้าลงทุนพัฒนา 5G ในละตินอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิศาสตร์สำคัญ เพื่อแย้งชิงความเป็นผู้นำโลกในด้านเทคโนโลยี ขณะที่สหรัฐจะยังคงสาละวนกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดโควิด-19 เนื่องจากเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก

จีนจะหันไปเน้นการค้าออนไลน์มากขึ้น สะท้อนได้จากขณะนี้ได้มีการจัดตั้งเขตการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามแดน (cross border e-commerce zone) 46 เขต เพื่อส่งเสริมการค้าออนไลน์ระหว่างจีนกับละตินอเมริกา ขณะเดียวกันประเทศในภูมิภาคก็ต้องการส่งเสริมศักยภาพด้านนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้พร้อมรับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งนี้ เมเยอร์ส ยังเตือนว่า ประเทศในละตินอเมริกาต้องมีระบบปกป้องอธิปไตยไซเบอร์ (Data sovereignty) เพื่อไม่ให้ถูกล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคลของคนในประเทศ

159407770937

นอกจากนี้ ยังมองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนและกล่าวโทษจีนอยู่อย่างต่อเนื่องว่า เป็นผู้แพร่เชื้อโควิด-19 จากการสำรวจพบว่า ประชาชนในสหรัฐส่วนใหญ่มีความเห็นเชิงลบต่อจีน เพิ่มมากขึ้นในทุกกลุ่มอายุ 

ในตอนท้าย เมเยอร์สชี้แนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน ยังขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีด้วยเช่นกัน โดยหาก โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้ง อาจไม่ดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีนเหมือนในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ แต่บรรยากาศความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศน่าจะยังอยู่ เพราะสหรัฐยังต้องคานอำนาจของจีนไว้ ในฐานะมหาอำนาจโลกขั้วตรงข้าม