‘ตื่นรู้’ กับ ‘ก๊อต จิรายุ’

‘ตื่นรู้’ กับ ‘ก๊อต จิรายุ’

ตามรอยความสุขแบบปราณีตของ "ก๊อต จิรายุ" กับบทสนทนาว่าด้วยความหมายของชีวิต และการ "ตื่นรู้"

ท่ามกลางสปอตไลท์ในวงการบันเทิง เขาคือนักแสดงมากฝีมือที่ฝากผลงานไว้มากมาย เป็นหนึ่งในหนุ่มฮอตจากละครดังแห่งยุค ‘บุพเพสันนิวาส’ ในบท ‘หลวงสรศักดิ์’ หรือพระเจ้าเสือ ทว่าชีวิตนอกเหนือจากนั้น เขายังมีความเป็นศิลปินที่หลายคนแอบบอกว่า ‘ติสท์’ มีโลกส่วนตัวสูงจนหลายคงสงสัย มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและงานที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

‘ก๊อต’ จิรายุ ตันตระกูล จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าสู่วงการด้วยการประกวด ‘ดิ ไอดอล โปรเจกต์’  มีผลงานละครโทรทัศน์กับช่อง 3 มาตั้งแต่ปี 2553 อาทิ บางระจัน, ชาติพยัคฆ์, บุพเพสันนิวาส, คมแฝก, หนึ่งด้าวฟ้าเดียว, ลายกินรี และภาพยนตร์เรื่อง จอมขมังเวทย์ 2020, คืนยุติ-ธรรม

แม้งานในวงการจะแวดล้อมไปด้วยชื่อเสียงเงินทอง แต่ด้วยความเป็นคนช่างสงสัย เขาจึงเข้าสู่เส้นทางสายปฏิบัติจากความรู้สึกที่ค้างคาในใจ "...เราได้ทุกอย่างมา ได้บ้าน ได้เงิน ได้ชื่อเสียง เรารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก ไม่มีความสุข"

เมื่อเร็วๆ นี้ในงาน ‘Club of One’ ที่จัดขึ้นเพื่อฉายสารคดี ‘หัวใจตื่นรู้’ ส่วนหนึ่งของสารคดี New Heart New World ที่มีอยู่ 3 ตอนคือ 1.โลกเปลี่ยนไป เมื่อใจเปลี่ยนแปลง 2.ตื่นเพื่อตัวเอง ตื่นเพื่อผู้อื่น และ 3.หัวใจตื่นรู้ ก๊อตได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์แลกเปลี่ยนทัศนะกับคนที่สนใจในเรื่องนี้ด้วย

159404146869

  • ทำไมถึงได้มาร่วมงานในครั้งนี้

ผมเป็นแฟนพันธ์แท้สารคดี New Heart New World อยู่แล้ว ผมต้องขอบคุณพี่พงษ์ (ธรากร กมลเปรมปิยะกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง We Oneness) เมื่อ 6 ปีก่อน ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียว มีคลิปพวกนี้เป็นเพื่อน เป็นช่วงที่กำลังบ้าคลั่งกับการสานฝันของตัวเอง พอดูคลิปแล้วก็อ๋อ...ที่เรายังตกต่ำอยู่ เพราะว่าทัศนคติที่มีต่อการทำงาน เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการงานเลย เป็นเพียงคนที่ครูพักลักจำ หยิ่งยโสว่ารู้แล้ว ทำงานมานานแล้ว แล้วมืออาชีพมันทำอะไร อะไรคืองานที่ดีที่สุด ไม่มีความสุขในการทำงาน ตั้งคำถามกับตัวเอง มนุษย์คืออะไร สุดท้ายศึกษาไปถึงเรื่องของขันธ์ 5 เรื่องของมนุษย์แต่ละศาสนา เรื่องจิตวิทยา เราจึงเห็นว่าตัวละครมันเคลื่อนไหวเพราะมีความคิดเหนี่ยวนำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับร่างกายอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดการแสดงบางอย่างขึ้นมา

159404153897

  • ปกติสนใจเรื่องการตื่นรู้อยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า

ผมศึกษามาตลอดครับ เราชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว มันน่าแปลกนะ เราเรียนกันมาหลายปี แต่เราไม่รู้จักตัวเอง เราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ดีที่สุดแล้วหรือเปล่า มีประโยชน์กับตนแค่ไหน มีประโยชน์กับคนอื่นแค่ไหน ถ้าเรามีจิตสำนึกทัน เราก็ใช้ความเจริญด้านวัตถุในทางที่สร้างสรรค์ ผมเป็นคนช่างสงสัย ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติ พอเราได้ทุกอย่างมา ได้บ้าน ได้เงิน ได้ชื่อเสียง เรารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก ไม่มีความสุข ซื้อบ้านมาแล้วนั่งอยู่ในบ้านคนเดียว มองประตูบ้าน ความสุขอยู่ตรงไหน ต้องมีต้นไม้เพิ่มเหรอ ไปซื้อต้นไม้มาปลูก ยังไม่สุข ต้องไปทำอีกหลายอย่าง สุดท้ายก็พบว่า ความสุขไม่น่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก บวกกับเจอญาติที่เป็นอิสลามชวนไปปฏิบัติวิปัสสนากับท่านอาจารย์โกเอ็นก้า (S.N.Goenka) ที่ลำพูนสิบวัน ก็เลยไป

  • การไปวิปัสสนาครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง

สามวันแรกเหมือนคนติดคุก วันที่ 4-5 เริ่มดีขึ้น วันที่ 8 มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนนั้นอายุ 29 ที่เรานั่งปฏิบัติมันไม่สบาย เป็นหนึ่งชั่วโมงที่แสนจะทรมาน ก็เกิดคำถามว่า ใครเจ็บ ถ้าร่างกายเจ็บ ส่วนไหนที่เป็นของฉัน ตาเหรอ ผมเหรอ ปอดเหรอ ก็ไม่ใช่ พอมันไม่เหลือเรา เอ้า...ความคิดนี่นาที่มันเจ็บ แต่เอ๊ะ...ความคิดไม่จำเป็นต้องเจ็บก็ได้ ในเมื่อร่างกายมันเจ็บ คนละส่วนกันนี่นา ช่วงจังหวะนั้นมันเกิดความคลิก ร่างกายเจ็บ ความคิดไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปรุงว่าอาการนี้เรียกว่าเจ็บ ด้วยความที่เราเติบโตมาหลายปีมีเมมโมรี่ว่าอาการนี้เรียกว่าเจ็บ ลองไม่ไปให้ค่ามันซิ แค่รู้สึก เอ้า...ไม่เจ็บซะงั้น พอมันเห็นอาการแล้วใจไม่ปรุงว่านี้เจ็บ ใจก็ไม่กระวนกระวายจะออกจากที่นั่น กลายเป็นแค่รู้สึกตัวอยู่แค่นั้น 

ผมไม่มีวันอธิบายเรื่องพวกนี้ได้ถ้าไม่มีประสบการณ์ตรง ร่างกายมันแปรปรวนตลอดเวลา แต่เราไม่เคยฝึกจิตตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากเท่ากล้องจุลทรรศน์ ผมก็ไม่เคยรู้ว่าจิตใจคนเราจะมีประสิทธิภาพสามารถเข้าไปสำรวจภายในตัวเองได้ขนาดนั้น การตื่นรู้ สามารถทำได้ทุกศาสนา ไม่ได้จำกัดอยู่ในศาสนาพุทธ คนอิสลาม คนคริสต์ สามารถมาฝึก Meditate วิปัสสนาได้ วิปัสสนาคือการเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น เน้นการดูเวทนา การรู้สึกตัว

  • จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นตอนไหน

แวบนั้นที่คลายสมมติออกหรือตื่น เป็นช่วงระฆังดังพอดี ผมเดินออกมาจากห้อง เกิดสภาวะไร้ความคิด รู้สึกตัวทั้งหมดทั่วร่างกาย เชื่อมโยงไปถึงพื้นดิน สัตว์เล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในพื้น บนยอดหญ้า ถัดขึ้นไปเป็นต้นไม้ ข้างบนเห็นฟ้าเห็นนก ช่วงไม่ถึง 10 วินาที ผมหลอมรวมธรรมชาติกับตัวเองเข้าด้วยกัน ไม่เหลือตัวเองเลยครับ ความรู้สึกตัวเป็นความละเอียดอ่อน จะเข้าถึงได้ต้องมีความเพียรฝึกจิตให้ละเอียด จนเจอความรู้สึกตัวที่ละเอียดลึกอยู่ข้างใน 

ธรรมชาติแสดงความละเอียดอ่อนให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความที่เราเข้าไม่ถึงความละเอียดในตัวเอง เราจึงเข้าไม่ถึงความละเอียดของธรรมชาติ ในช่วงจังหวะนั้น ไม่ใช่แค่เห็นสัตว์เล็กๆ เราเห็นไปถึงเพื่อนมนุษย์ 'ฉัน' คือ 5 อย่าง ร่างกาย ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ และจิตที่รับรู้ ไม่มีใครอยู่นอกเหนือกฎนี้

159404160181

  • หลังจากนั้นชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

การมองโลกก็เปลี่ยนไป อันดับแรกเลย มีความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเองใหม่ ฉัน...นี่ล่ะที่เป็นต้นตอความทุกข์ทั้งหมด โลกไม่ได้มีปัญหา มึงนี่ล่ะที่มีปัญหา ถ้ามีประสบการณ์ตรงและตื่นแล้ว จะไม่ยอมรับไม่ได้ครับ เหมือน 29 ปีที่ผ่านมา ตกอยู่ในบ่อน้ำเน่า แต่เราอยู่ในนั้นเพราะคิดว่าน้ำนั้นเย็นสบาย เราติดความเพลิดเพลิน พอวันหนึ่งการปฏิบัติอยู่กับตัวเองสิบวันมันทำให้เราขึ้นมาจากบ่อนั้นวันละนิดวันละหน่อย ได้ชะล้างตัวเองจนสะอาด ถ้าจะยังกลับไปอยู่ในบ่อนั้นอีก มีทางเดียวเลยคือยังโง่อยู่ เมื่อเราขึ้นมาได้แล้ว จะทำยังไงที่จะประคองการตื่นให้อยู่ในการดำรงชีวิตทุกๆ วัน ก็ต้องสร้างนิสัยขึ้นมาใหม่ รอบล่าสุดที่ผมไปสิบวัน เป็นช่วงที่หนังผมออกพอดี ผมต้องสู้กับตัวเองอย่างมากว่าจะอยู่โปรโมทหนังหรือว่าจะไปสิบวัน สุดท้ายผมไปสิบวัน เพราะผมเห็นค่า

หลังจากตื่่นรู้แล้ว เรามีมุมมองต่อชีวิตเปลี่ยนไป มีมุมมองต่อเพื่อนร่วมโลกเปลี่ยนไป มีมุมมองต่อสังคมโลกเปลี่ยนไป มีมุมมองต่อตัวเองว่าการมีคุณค่าคือต้องพึ่งตัวเองได้ รู้ว่าอะไรคือความสุข อะไรคือความทุกข์ เหตุใดทำให้ตัวเองทุกข์อึดอัดไม่มีความสุข เหตุใดที่ทำให้ตัวเองสุข และสุขแบบปราณีต เป็นผู้รับผิดชอบทั้งเรื่องจิตใจของตัวเองและเรื่องภายนอกของตัวเอง พึ่งตัวเองได้จะมีคุณค่าระดับหนึ่ง 

อันดับต่อมาทำให้ผู้อื่นพึ่งได้ เริ่มจากบุพการี ตอบแทนบิดามารดา ให้ปัจจัยสี่ ให้ความเข้าใจ เป็นการมอบทั้งเรื่องภายนอกและภายในให้แก่ท่าน นี่คือการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองอีกระดับหนึ่ง เราจะมอบความรักให้กับใครได้เราต้องรู้วิธีมอบความรักให้กับตัวเอง เราจะมอบความเมตตาให้กับใครได้เราต้องรู้จักเมตตาตัวเอง เราจะให้อภัยใครได้เราต้องให้อภัยตัวเองให้เป็นก่อน

  • เพราะอะไรทำให้ไปวิปัสสนาถึง 4 ครั้ง

หนึ่งไปเพราะอยากรู้ สองไปเติมความรู้ สามไปเป็นธรรมะบริกร สี่ไปปฏิบัติ พอเรารู้แล้ว ความรู้ที่อยู่ในตัวเหมือนพลังงาน พอใช้ชีวิตในโลกเยอะๆ พลังงานลดก็ต้องไปเติมพลังงาน การไปครั้งแรกเป็นเรื่องของการอยากรู้ มันจริงเหรอที่เขาบอกว่า ‘สุขโดยไม่ต้องเสพ’ เป็นความสุขที่ได้มาเปล่าๆ เราอยู่ในทัศนคติของโลกที่ว่าไม่มีใครมาให้อะไรเราฟรีๆ นะ พอเราไปปฏิบัติ เฮ้ย...ทำไมเขาไนซ์กันจังวะ เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ปฏิบัติสะดวกสบายขึ้น เพราะเขารู้ว่าปฏิบัติหนักมาก พอวันที่สิบเราตื้นตัน พูดไม่ถูก กราบได้สนิทใจ ถ้าคนทั่วไปยังลังเลอยู่ว่าจะไปไหมสิบวัน ผมให้ตั้งคำถามง่ายๆ ว่า สิบวัน แลกมากับความสุขตลอดชีวิต เอาไหม

รอบที่สาม ไปเป็นเซิร์ฟเวอร์ บริกร แต่มีความสุขอย่างมาก ไม่เคยจะมีความสุขแบบนี้เลยในชีวิต มันละลายอัตตาเราอย่างมาก เราต้องทำเรื่องหลายอย่างที่ปกติจะมีคนคอยประเคนให้ พอเราไปอยู่ที่นี่พูดกันไม่ได้ สิบวันไม่มีการพูดปฏิบัติลูกเดียว เราไปดูแลผู้อื่น เราปฏิบัติร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เราต้องคอยดูว่าผู้ปฏิบัติต้องการความช่วยเหลือในส่วนไหนบ้าง เท่ากับทั้งวันใจเราเปิดลิ้นชักของความปรารถนาดีอยู่ตลอดเวลา 

ผมตั้งหลักไว้เลยว่าสิบวันนี้ทุ่มเทแรงใจแรงกายเพื่อผู้อื่น พอกันทีแล้วเพื่อตัวเอง เพื่อตัวเองมา 30 ปีแล้ว เพื่อผู้อื่น 10 วัน พอเราเป็นผู้ที่ทำบ้าง เราจึง ลงลึกไปถึงขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกคนที่รักษาองค์ความรู้นี้ไว้ ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง รู้สึกสำนึกบุญคุณไปถึงคนทุกเจนเนอเรชั่น เพราะการรักษาองค์ความรู้ที่เป็นเนื้อแท้ เป็นเรื่องยาก เวลาเราเจอคนที่มีทัศนคติที่ไม่เหมือนกัน ลิ้นชักความเกลียดชังตัดสินในใจมันก็ปิด ลิ้นชักการให้อภัยให้ความรักมันก็เปิดโดยอัตโนมัติ เข้าใจสิ่งที่เขาทำ และให้อภัยได้โดยไม่คิดอะไร เป็นการส่งความปรารถนาดีให้กันและกัน

  • ถ้าให้แนะนำคนที่สนใจมาพบกับการตื่นรู้บ้างจะต้องทำอย่างไร

ผมอยากจะแบ่งปันให้กับผู้ที่เริ่มต้นง่ายๆ ลองสร้างกิจวัตรขึ้นมา ในตอนเช้าลองฝึกทำสมาธิ จดจ่อที่ลมหายใจของตัวเอง ความคิดมันทำงานอยู่ตลอดเวลา สังเกตธรรมชาติของความคิดไปเรื่อยๆ จะพบว่า ความคิดนี้เกิดขึ้น แล้วความคิดนี้ก็ดับหายไป ธรรมชาติของความคิดไม่ถาวร วิธีเทสต์ง่ายๆ ลองหลับตาดูแล้วตั้งคำถามว่า ความคิดไหนกำลังจะเข้ามาในหัวฉัน ลองดูสักสิบวิ... จะพบว่าไม่มีความคิดไหนเข้ามาเลย เพราะว่าเราตั้งท่าจดจ่อ มันจึงไม่ปรากฏ แต่ถ้าเรากลับมาจดจ่อที่ลมหายใจ สักสิบวิ... จะมีหลายความคิดเข้ามา 

นี่คือการฝึกง่ายๆ ของคนทั่วไป ฝึกแล้วจะเห็นความคิดตัวเอง เมื่อเห็นความคิดตัวเองแล้ว ก็จะเลือกความคิดได้ เราจะชั่งใจได้ ในอนาคตเราจึงจะเปลี่ยนได้ เช่น ผมทำงานด้วยทัศนคติที่ว่าทำให้มันจบๆ ไปจะได้เลิก ถ้าผมไม่เห็นความคิดนี้ สิบปี งานผมจะเป็นยังไง ชีวิตก็แย่ แต่ถ้าผมเห็นความคิดตัวเอง เฮ้ย...ฉันกำลังมีความคิดแบบนี้อยู่นะ มันจะเกิดการตั้งคำถามว่า แล้วความคิดขั้วตรงข้ามคืออะไร เพราะฉะนั้่นฝึกไปวันละนิดๆ มันจะเห็นความคิดของตัวเอง สิ่งที่ผมนำมาบอกนี้เป็นเพียงน้ำหยดเล็กๆ เล็กมาก กับสิบวันที่ผมได้มันคือภูเขา

159404170375

  • ถ้าเราต้องทำงานกับคนที่มีความคิดลบ มองโลกในแง่ร้ายจะต้องทำอย่างไร

ทุกคนมีพลังในการทำลายและพลังในการสร้างสรรค์อยู่ในตัวเอง เป็นสาเหตุที่เขาบอกว่า มนุษย์เท่านั้นที่บรรลุได้ คนทั่วไปที่ยังไม่ตื่น จะไม่เห็นว่าในตัวเขามีอะไรอยู่บ้าง จึงใช้ตามความคุ้นชินที่โลกนี้ใช้กัน มีทัศนคติของการล้างแค้นอยู่เยอะ ในตัวเรามีลิ้นชักจิตใจของการให้อภัยและเมตตาอยู่ ผู้ที่ตื่นจึงจะเห็นคุณสมบัติของตัวเองทั้งหมด แล้วเลือกใช้แต่คุณสมบัติที่ดี เวลาที่เราเมตตาใคร ใจเราก็ไม่อึดอัด ลองเราหงุดหงิดไม่พอใจใครสักคน แป๊บเดียวก็อึดอัดแล้ว ธรรมชาติลงโทษทันทีที่เราเลือกความคิดผิด แต่พอเรากลับมารู้สึกตัวจะรู้ว่าในเขามีอะไรในฉันก็มี เรายังมีพลังด้านสว่างอีกมากมาย เมื่อปล่อยออกมาแล้วไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่รู้สึกดี คนรอบข้างก็จะได้รับไปด้วย

  • ถือว่าตอนนี้ก๊อตเป็นคนที่ตื่นรู้แล้วคนหนึ่ง?

ผมยังเป็นผู้ฝึกอยู่ เรากำลังเดินไป แต่เราเห็นว่าแนวทางมันคือตรงนี้ แต่เรายังมีนิสัยเก่า ในหนึ่งอาทิตย์เราสร้างนิสัยใหม่ 5 วัน อีก 2 วันเป็นนิสัยเก่า พอถึงวันหนึ่งมันจะกลายเป็น 7 วันเต็มที่มีนิสัยที่มีประสิทธิภาพ ตอนเช้าตื่นขึ้นมาทำกิจด้านจิตใจก่อน นั่งสมาธิสร้างพลังงานให้แก่จิต แล้วนำจิตนั้นไปดำเนินชีวิตในโลกวัตถุ ก่อนนอนก็เติมพลังให้แก่จิต ขับล้างสิ่งไม่ดีตลอดทั้งวันที่เจอมา เมื่อไรที่ทำแบบนี้ได้ จะนำไปสู่เรื่องสร้างสรรค์อื่นๆ เยอะแยะมากมาย เมื่อไรที่เราอยู่กับความคิดปรุงแต่งเราจะลืมรู้สึกตัว แต่เมื่อไรที่เราอยู่กับลมหายใจหรือความรู้สึกตัว เราจะลืมความคิดปรุงแต่ง

ความสุขในโลกวัตถุไม่มีจุดสิ้นสุด แต่ความสุขในใจมีวันสิ้นสุด คือการเข้าใจ การเข้าใจจะทำให้ได้ความสุขมาเปล่าๆ