ซักฟอกงบ 64 เจาะกลาโหม 'ชัยชาญ' โชว์ 9.7 พันล้านดับไฟใต้

 ซักฟอกงบ 64 เจาะกลาโหม 'ชัยชาญ' โชว์ 9.7 พันล้านดับไฟใต้

ถกงบ 64 วันที่สอง ส.ส.รุมซักฟอกงบฯความมั่นคง-ชนวนเหลื่อมล้ำรุนแรง รมช.กลาโหมโชว์ 9.7 พันล้านดับไฟใต้ เดินหน้าคุยสันติสุข นายกฯเมินฉายา "ผู้นำแห่งการก่อหนี้" สวนกลับเป็นทุกรัฐบาล


การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในวาระแรกเป็นวันที่2 สมาชิกยังมุ่งเน้นการจัดทำงบประมาณว่าไม่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด 19 และการจัดสรรงบประมาณให้กับฝ่ายความมั่นคงที่มีความไม่เหมาะสม

โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงภาพรวมการประชุมว่า ต้องขอขอบคุณสมาชิกทุกคน ตนเข้าใจว่าทุกคนหวังดี แต่บางครั้งต้องดูข้อมูลที่สังเคราะห์แล้ว ถ้าดูข้อมูลทีละชิ้นก็คงไม่ดีทั้งหมด ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อนบ้างแต่เราก็จะมีการสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดแนวนโยบายและกรอบในการจัดทำงบประมาณ

ส่วนที่ถูกฉายารัฐบาลเป็น“ผู้นำแห่งการก่อหนี้” ก็เป็นอย่างนี้ทุกรัฐบาล แต่ว่าวันนี้ปัญหาเรามากขึ้นก็ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น ตนไม่โทษใคร เพราะโทษใครไม่ได้ จึงต้องโทษตัวเอง สิ่งสำคัญสุดคือการจัดงบประมาณปีนี้ต้องเข้าใจถึงความต้องการของประชาชนคนไทย
ส่วนที่มีการพูดถึงการแทรกแซงการจัดทำงบประมาณท้องถิ่นหรือในกระทรวง ทุกคนต้องช่วยกันดูแลทุกโครงการ เพราะประชาชนเป็นคนเสนอผ่านกลไกท้องถิ่น

ถล่มงบ64ต้นเหตุเหลื่อมล้ำรุนแรง

ส่วนการอภิปรายอาทิ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตยส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำงบประมาณ2564 สำนักงบประมาณเสนอให้มีการปรับปรุงเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ช่วงเดียวกับการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับพบว่าไม่มีหน่วยงานใดเสนอปรับลดงบประมาณตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด ส่งผลให้สำนักงบประมาณต้องตัดงบประมาณเองและสุดท้ายต้องเอาไปไว้ที่งบกลาง ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง

เมื่องบประมาณ 2564 ไม่มีการแก้ไขจึงเป็นเพียงงบประมาณปกติเท่านั้น ไม่ใช่การจัดทำงบประมาณในภาวะฉุกเฉิน หากไม่มีการปรับแผนแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำแล้ว ก็ต้องไปใช้เงินจากพระราชกำหนดกู้เงิน กฎหมายโอนงบประมาณ

ดังนั้น หากจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ จะต้องปรับวิธีการกลั่นกรองงบเงินกู้ใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ถึงมือประชาชน ปรับหลักเกณฑ์ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินเพื่อให้การปล่อยสินเชื่อถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแท้จริง

“ก้าวไกล”ชำแหละงบมั่นคงล้างสมอง

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลอภิปรายว่า ตัวเลขงบประมาณแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี2564 ได้รับงบ 6,400กว่าล้านบาท ลดลงจากปี2563 ประมาณ 900ล้านบาท แม้เป็นเรื่องดี แต่รายละเอียดงบประมาณมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ 42% ยังถูกนำไปใช้ในโครงการการปรับทัศนคติและโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ

ขณะที่งบด้านการเยียวยาและฟื้นฟูสันติภาพได้เพียง 16.4% ที่น่าสนใจคือ โครงการส่งเสริมและเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้อง ซึ่งถูกสภาวิจารณ์มากเมื่อปีที่แล้ว เพราะเป็นงบล้างสมอง ให้ทหารเข้าไปในโรงเรียนปลูกฝังค่านิยมให้เด็กนักเรียนนั้น มาปีนี้แม้จะไม่มีชื่อโครงการนี้ แต่หายไปแค่ชื่อ เพราะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อสันติสุข

นอกจากนี้ยังมีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพข่าวกรอง ตั้งงบไว้ 926ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 17ล้านบาท เป็นโครงการสร้างสายข่าว ซึ่งสร้างความแตกแยก หวาดระแวง เปิดช่องให้ใส่ร้ายกันในพื้นที่ และยังมีโครงการในลักษณะนี้ 100ล้านบาท อย่างไรก็ดีการกำหนดงบประมาณเช่นนี้บวกกับการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สะท้อนนโยบายไม่ไว้วางใจประชาชน ไม่เชื่อกระบวนการพูดคุย คิดแต่ใช้กฎหมาย อาวุธ และการโฆษณาชวนเชื่อครอบงำประชาชน

“บิ๊กช้าง”ยันงบดับไฟใต้คุ้มค่า

ด้านพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงถึงกรณีการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีการวางกรอบวงเงินไว้ที่ 9,731 ล้านบาท แบ่งเป็นงบด้านการพัฒนา 5,261 ล้านบาท และงบด้านมั่นคง 4,470 ล้านบาทซึ่งรัฐบาลเน้นกาพัฒนาในพื้นที่ เน้นการเพิ่มรายได้ครัวเรือนให้คนในพื้นที่ โดยด้านความมั่นคงตั้งเป้าให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ลดเหตุการณ์รุนแรงลงร้อยละ 50 มุ่งแก้ไขภัยแทรกซ้อน โดยเฉพาะปัญหาด้านยาเสพติด ประสิทธิภาพด้านข่าวกรอง การแสวงหาทางออกด้วยสันติวิธีและการเจรจาพูดคุยสันติสุข

ส่วนกรณีการตั้งข้อสังเกตถึงโครงการพูดคุยสันติสุขซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในพื้นที่ในการเจรจาพูดคุย ได้มีการเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมได้มีส่วนสร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในการพูดคุย รวมไปถึงมีการลดงบประมาณลงเพื่อปรับรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะสมโดยใช้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยรวมไปถึงผู้นำศาสนาเข้าไปอบรมให้มีพื้นฐานความคิดไปในทางที่บวกไม่ใช้ความรุนแรงในการตัดสิน

“ส.ส.บางตา” ฝ่ายค้านขู่นับองค์ประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในวันที่2 การอภิปรายเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยช่วงหนึ่งของการอภิปราย นายครูมานิตย์ สังข์พุ่มส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นหารือว่า องค์ประชุมเป็นเรื่องของรัฐบาล แต่ทำไมการประชุมงบประมาณฯ 64 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเสนอ แต่ไม่มีส.ส.รัฐบาลนั่งฟัง ทั้งนี้ตนไม่อยากใช้ข้อบังคับการประชุมให้มีการนับองค์ประชุม
ทำให้นายสุชาติ ตันเจริญรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประชุมการประชุม กล่าวติดตลกว่า “อย่างน้อยครูมานิตย์ก็มีประธานนั่งเป็นเพื่อนอยู่”

ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ลุกขึ้นยืนยันว่า ส.ส.รัฐบาลยังอยู่ครบ นั่งอยู่รอบๆห้องประชุมสภาฯ
ก่อนที่นายสุชาติ จะตัดบทดำเนินการประชุมต่อ

แจงเหตุไม่ส่งศาลชี้ปม‘สุชาติ’

วานนี้(2ก.ค.)นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้จัดทำเอกสารชี้แจงกรณีวุฒิสภาให้ความเห็นชอบนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) โดยมีเนื้อหา ระบุว่า ประธานศาลฎีกาในฐานะประธานกรรมการสรรหาฯ ได้มีหนังสือยืนยันมติของคณะกรรมการสรรหา
และให้สัมภาษณ์สรุปความตอนหนึ่งได้ว่า กรณีปัญหาการวินิจฉัยคุณสมบัติของอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เป็นกรรมการองค์กรอิสระได้หรือไม่นั้น คณะกรรมการสรรหาในแต่ละชุดต่างทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความสุจริต ก็เป็นอันยุติ

และประธานวุฒิสภาได้ศึกษากฎหมายที่สำคัญ 3 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญ 2560 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 อย่างละเอียด รอบคอบและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย เพื่อหาข้อยุติ ไม่พบว่ามีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้อำนาจประธานวุฒิสภาในการส่งเรื่องนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นใดเพื่อวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว