ลงทุนอย่างไร? เมื่อสงครามการค้า 'สหรัฐ-จีน' ปะทุขึ้นอีกครั้ง

ลงทุนอย่างไร? เมื่อสงครามการค้า 'สหรัฐ-จีน' ปะทุขึ้นอีกครั้ง

เมื่อวิกฤติโควิด-19 เริ่มจางลงในหลายประเทศ แต่กลับกลายเป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน มีแนวโน้มที่จะกลับมาปะทุอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นสำหรับการลงทุนในช่วงเวลานี้ ควรจะเป็นอย่างไร? และจะเลือกลงทุนในลักษณะใดดี?

หลังจากที่โลกเราสามารถรับมือกับไวรัสโควิด-19 ได้ในระยะนึงแล้ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการคลายมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่อง แต่ความขัดแย้งระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐกับจีน ก็มีแนวโน้มจะกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

จากการที่สหรัฐ สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ทำให้คนอเมริกามองว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการป้องกันและควบคุม ทำให้คะแนนความนิยมของทรัมป์ลดลงในช่วงหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงนี้ ส่งผลให้ทรัมป์เริ่มหาหนทางในการหาเสียงและเบี่ยงประเด็น โดยให้ประเทศจีนเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะต้นตอของการระบาด

บางท่านอาจจะมองว่าปัญหาของสหรัฐ-จีน หากหมดยุคสมัยทรัมป์ก็คงจบลง แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น เนื่องจากประเทศจีนได้เป็นทั้งพันธมิตรคู่ค้าคนสำคัญและคู่แข่งตัวฉกาจ จากแต่เดิมที่จีนเป็นทั้งแหล่งผลิตสินค้าสหรัฐที่ค่าแรงถูกและเป็นตลาดขนาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน ที่จะสนับสนุนให้สินค้าของสหรัฐเปิดตลาดได้มากขึ้น

ปัจจุบันจีนจึงกลายเป็นประเทศที่โดดเด่นและมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่สองของโลก ดังนั้นถึงเวลาที่ความฝันของจีนที่ต้องการเป็นมหาอำนาจของโลกจึงถูกประกาศออกมาให้ทุกประเทศได้ทราบถึง China dream ที่ต้องการขยายอิทธิพลและแสนยานุภาพของจีน ส่งผลให้ท่าทีของสหรัฐที่มองประเทศจีนในระยะหลังก็เปลี่ยนไปจากประเทศที่เกื้อหนุนซึ่งกันกลับกลายมาเป็นคู่แข่งที่ต้องระวังซึ่งกันและกัน

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ สหรัฐพยายามสกัดกั้นจีนในทุกมิติเพื่อบั่นทอนขีดความสามารถของจีนให้ได้มากที่สุด ทั้งสงครามการค้า การกล่าวหาเรื่องการขโมยเทคโนโลยี การเข้าแทรกแซงการเมือง ทั้งในไต้หวันและฮ่องกง การกีดกั้นบริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น Huawei ที่ถูกมองว่ามีรัฐบาลจีนหนุนหลัง การบอกว่าจีนเป็นต้นกำเนิดไวรัสโควิด-19 เป็นต้น

เรามองว่าความขัดแย้งจะมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้ เพราะไม่ว่าใครขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ การที่มองว่าสหรัฐมีภัยคุกคามย่อมไม่สามารถยอมถอยออกมาได้ เพียงแต่ช่วงนี้ทั้งสองประเทศยังไม่เร่งความขัดแย้งให้มีเพิ่มมากขึ้น เพราะหากดำเนินการในปีนี้ย่อมจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของตัวเองให้ได้รับผลกระทบอีก

อย่างไรก็ตาม กรณีที่แย่ที่สุดคือ หากทรัมป์รู้ตัวว่าเสียคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้ง ก็อาจจะตัดสินใจชูเรื่องความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น เพื่อพยายามดึงฐานเสียงให้กลับมาก็เป็นได้

ในด้านการลงทุนเรายังคงชอบการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จากการที่หุ้นจีนมีปัจจัยพื้นฐานที่แนวโน้มดีมากกว่าภูมิภาคอื่น อีกทั้งไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ เราก็จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญคือ กลุ่มเทคโนโลยี ทั้งด้าน Hardware, Software, Semiconductor หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง EV car , Battery และอื่นๆ

สำหรับการลงทุนในทองคำยังคงน่าสนใจที่เหมาะกับการถือไว้เพื่อปกป้องอำนาจซื้อของเงิน ที่ปัจจุบันถูกลดมูลค่าลงด้วยการทำ QE ของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งหากความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐยังดำเนินต่อไป การลงทุนในทองคำในช่วงเวลานี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมครับ

และสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงจากนี้จนถึงปลายปีนั้น ควรจะปรับกลยุทธ์การถือหุ้นให้สั้นลง เพราะ Valuation ของหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาเยอะแล้วพอสมควรจาก Sentiment ในเชิงบวกของการผ่อนคลายมาตรการ Lock down และเม็ดเงินที่อัดฉีดที่เข้ามาอย่างมหาศาล หากเกิดขึ้นขายทำกำไรจะทำให้ตลาดปรับฐานลงมาได้พอสมควร

โดยแนะนำว่าควรจะรอเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีน สหรัฐ และกลุ่ม Thematic เช่น Healthcare ,Consumer Staples หรือกลุ่ม Technology เมื่อตลาดย่อตัวลงมาแล้วจึงค่อยกลับเข้าลงทุนใหม่หลังจากตลาดมีการปรับฐานครับ