พิพากษาแก้ 4 จำเลย คดีระบายข้าว 'จีทูจี' ร่วมชดใช้จาก 1.6 หมื่นล้าน เป็น 2 หมื่นล้าน

พิพากษาแก้ 4 จำเลย คดีระบายข้าว 'จีทูจี' ร่วมชดใช้จาก 1.6 หมื่นล้าน เป็น 2 หมื่นล้าน

ศาลฎีกาพิพากษาแก้ 4 จำเลย ชดใช้เพิ่มคดีระบายข้าว "จีทูจี" จาก 1.6 หมื่นล้านเป็น 2 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 2 ก.ค.63  ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลอ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ของนายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16 คดีหมายเลขดำ อม.อธ. 3/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ. 3/2563 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุธี เชื่อมไธสง เป็นจำเลยที่ 16 คดีทุจริตจีทูจี เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยในคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาวินิจฉัยในส่วนแพ่งว่า ผู้ร้องที่ 1-4 ไม่เป็นผู้เสียหาย ให้นายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16 ร่วมกับ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำเลยที่ 10 นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 14 และนายนิมล รักดี จำเลยที่ 15 ชำระเงินแก่กระทรวงการคลัง ผู้ร้องที่ 5 จำนวน 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ต่อมาผู้ร้องทั้ง 5 ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐผู้เสียหาย อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องที่ 1-4 เป็นผู้เสียหาย ขอให้จำเลยที่ 16 ชำระค่าเสียหายเพิ่มขึ้นด้วย

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ เห็นว่าผู้ร้องที่ 1 เป็นคู่สัญญา ผู้ร้องที่ 2-3 มีหน้าที่สำคัญตั้งแต่การรับจำนำข้าวเปลือก แปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร และผู้ร้องที่ 4 มีหน้าที่กำกับให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การระบายข้าว ผู้ร้องที่ 1-4 จึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ 1-6 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต วางแผนกันมาเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การเสนอกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าว เพิ่มถ้อยคำ “รัฐวิสาหกิจ” ในวิธีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อให้บริษัท สยามอินดิก้า จำเลยที่ 10 โดย น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำเลยที่ 11 น.ส.เรืองวัน เลิศลารักษ์ จำเลยที่ 12 และนายอภิชาติ จำเลยที่ 14 นำบริษัท กว่างตงฯ และบริษัท ห่ายหนานฯ ซึ่งเป็นเพียงรัฐวิสาหกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ไม่ใช่ตัวแทน โดยตรงของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาเป็นคู่สัญญา ในการทำสัญญาซื้อขายขาวแบบรัฐต่อรัฐรวม 4 สัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม

ทั้งนี้ สัญญาที่ทำขึ้นเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะและเป็นการกระทำละเมิดสัญญาดังกล่าว จึงไม่ผูกพันผู้ร้องทั้ง 5 

สำหรับความเสียหาย ตามสัญญาแต่ละฉบับที่ไม่จำต้องนำค่าใช้จ่ายใดๆ มาปรับลดและผู้ร้องทั้งห้าได้รับความเสียหายนับ แต่วันทำสัญญาแต่ละฉบับ ให้จำเลยที่ 16 ร่วมกับจำเลยที่ 10 ที่ 14 และที่ 15 ชำระค่าเสียหายตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ รวมเป็นเงินต้น 20,057,723,761.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นแต่ละยอด ประกอบด้วย

ดอกเบี้ยของเงินต้น ในยอด 10,991,736,253.54 บาท ให้ชำระนับตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.2554 ของยอด 2,197,070,607.79 บาท ให้ชำระนับตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.2554 ของต้นเงินในยอด 6,687,421,374.73 บาท ให้ชำระนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.2555 ของยอด 199,495,525.60 บาท ให้ชำระนับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2555 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่หน่วยงานผู้ร้องที่เสียหายทั้ง 5 ซึ่งดอกเบี้ยที่นับถึงวันยื่นคำร้องนั้น ต้องไม่เกินจำนวนตามที่ผู้ร้องทั้ง 5 ขอ

นอกจากที่แก้แล้ว ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ทั้งนี้ ศาลยังให้ออกคำบังคับสำหรับค่าเสียหายส่วนแพ่งที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ กรณีจำเลยที่ 16 แล้ว