การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นต่อเนื่อง หลังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในประเทศมานานกว่า 1 เดือนแล้ว นำไปสู่การปลดล็อกกิจการกิจกรรมในทุกกลุ่มธุรกิจ
ขณะที่การใช้ชีวิตของประชาชนกลับสู่ภาวะปกติเกือบ 100% แต่อาจจะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในรอบที่ 2
โดยขณะนี้บรรยากาศการค้า การลงทุน การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเริ่มคึกคักขึ้น ราคาอาหารสด เนื้อหมู เนื้อไก่ ผัก ผลไม้ หลายชนิดเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วงล็อกดาวน์ที่ติดเคอร์ฟิวดังนั้นจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ทำให้การบริโภคชะลอตัวไปด้วย อาจมีเพียงแค่อาหารแช่แข็ง อาหารแห้งที่ขายดีเป็นพิเศษ เพราะมีการกักตุนกันเยอะ
ย้อนดูราคาเนื้อหมูเนื้อไก่ในประเทศ พบว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ที่สถานการณ์โควิดยังไม่รุนแรง ราคาเนื้อหมูหน้าฟาร์มซื้อขายกันเฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.30 บาท พุ่งแรงจากช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 ที่กิโลกรัมละ 58.10 บาท ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. เป็นต้นมา หลังเริ่มมีการประกาศล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับราคาไก่สดที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาซื้อขายเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่กลับมีประเด็นใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคมากขึ้น หลังมีรายงานว่าพบการระบาดของโรคไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า “G4 EA H1N1” หรือ “G4” ในประเทศจีน
โดยตรวจพบในกลุ่มคนงานโรงฆ่าสัตว์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความวิตกกังวลตามมาว่าจะมีระบาดจาก “คนสู่คน” หรือไม่? ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงอาจกลายเป็นโรคติดต่อใหม่ที่มีโอกาสแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้ ซ้ำเติมวิกฤตจากโรคโควิด-19 ที่มีต้นกำเนิดมาจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019
อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ตื่นตระหนกกันมากเกินไป เพราะขณะนี้การติดเชื้อยังอยู่ในวงจำกัด และยังไม่มีหลักฐานยืนยันหรือพิสูจน์ได้ว่าจะมีการติดต่อจากคนสู่คน สอดคล้องกับที่ “หมอยง”ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาระบุว่า ข่าวที่มีการนำเสนอมาจากบทความวิชาการของคณะนักวิจัยในศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ของสหรัฐฯ
โดยคณะนักวิจัยได้ทำการศึกษาเรื่องไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 มาตั้งแต่ช่วงปี 2011-2018 และพบว่า สายพันธุ์ “G4” มีโอกาสก่อให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่การทดลองกับสัตว์ทดลองเท่านั้น และถึงแม้ว่าในอนาคตจะพบในคน แต่การพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบันก็สามารถทำได้ง่าย เพียงเปลี่ยนสายพันธุ์ให้ตรงกับสายพันธุ์ที่มีการระบาดเท่านั้น จึงมั่นใจว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรง
ได้ฟังแบบนี้แล้วน่าจะเบาใจกันแล้ว กระแสข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงจิตวิทยาเชิงลบที่เข้ามากระทบกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจปศุสัตว์แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะสถานการณ์ยังไม่รุนแรง ขณะที่ผู้ประกอบการของไทย เช่น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ทำปศุสัตว์ในระบบปิดทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมีความปลอดภัยสูง
เห็นได้จากการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever หรือ ASF) ที่มีการระบาดในหลายประเทศโดยเฉพาะจีนและเวียดนาม แต่ก็ไม่พบการระบาดในฟาร์มของ CPF และ TFG นอกจากนี้ เมื่ออุปทานในตลาดลดลงก็กลายมาเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะส่งออกสินค้าไปขายได้มากขึ้น
ด้านบล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ข่าวที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบจำกัดต่อผู้ประกอบการสุกรในประเทศไทย เพราะทั้ง CPF และ TFG ไม่ได้ทำธุรกิจฟาร์มเลี้ยงหมูในประเทศจีน อีกทั้งโรคดังกล่าวยังไม่พบการระบาดในประเทศไทยและเวียดนามด้วย แต่ก็ต้องติดตามต่อไปว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคเนื้อหมูหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังให้น้ำหนักกับปัจจัยบวกมากกว่าข่าวลบที่เกิดขึ้น หลังราคาหมูและไก่ในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนหลังมีการคลายล็อกดาวน์ ส่วนราคาหมูในเวียดนามยังสูงต่อเนื่อง จึงยังคงประมาณการเดิมว่ากำไรสุทธิของกลุ่มเกษตร-อาหารในปี 2563 จะเติบโต 17.6% จากปีก่อน โดยเลือก CPF เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม