'เอซีจี' จ่อลดสัดส่วนหุ้นใหญ่เพิ่มฟรีโฟลท

'เอซีจี' จ่อลดสัดส่วนหุ้นใหญ่เพิ่มฟรีโฟลท

“ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง” เตรียมดึงนักลงทุนสถาบันเข้าถือหุ้นเพิ่ม หลังย้ายเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ SET มั่นใจปีนี้ผลประกอบการยังมีกำไร แม้รายได้อาจพลาดเป้าหมายโต 10% จากปีก่อน เหตุปิดโชว์รูมรถกว่า 1 เดือนจากผลกระทบโควิด-19 พร้อมจ่อเปิดธุรกิจใหม่ “FA

วานนี้ (1ก.ค.2563) พบความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง(ACG) มีปริมาณการซื้อขายปรับตัวอย่างคึกคัก เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินการย้ายเข้ามาซื้อขายหลักทรัพย์ในกระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์เป็นวันแรก จากเดิมที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยส่งผลให้ราคาหุ้นหลังปิดตลาดเพิ่มขึ้น 9.09% มาปิดที่ 1.20 บาท

นายภานุมาศ รังคกูลนุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACG เปิดเผยว่าการย้ายเข้าซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ SET เนื่องจากบริษัทมีความต้องการให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น หลังปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มครอบครัวประมาณ 74% และมีการกระจายหุ้นหรือสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) อยู่ที่ 24% ซึ่งมองว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินไป อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนสถาบันหรือพันธมิตรที่มีศักยภาพเข้าช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ในอนาคต กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ก็มีความพร้อมที่จะขายหุ้นออกมาบางส่วน

“การย้ายหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้ามาเทรดใน SET ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้นและช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนโดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน”

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินของธุรกิจในปี 2563 บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะยังมีกำไรอยู่ แม้ว่ารายได้ปีนี้อาจจะไม่ได้เติบโตตามเป้าหมายที่ระดับ 10% จากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งส่งผลให้โชว์รูมจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทต้องปิดบริการชั่วคราวกว่า 1 เดือนตามมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เริ่มมีความต้องการซื้อรถยนต์มากขึ้น ประกอบกับบริษัทมีสต็อกเก่าที่รอส่งมอบรถจำนวนมากจึงทำให้สถานการณ์ตอนนี้รถเริ่มขาดตลาดและส่งผลบริษัทมีมาร์จินที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วย

ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าบริษัทจะสามารถเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยเตรียมเปิดตัวธุรกิจใหม่ “FASTFIT” ซึ่งให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ทุกยี่ห้อภายในช่วงไตรมาส 3 นี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดใหม่ได้จำนวน 3-5 สาขาในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 30-50 ล้านบาท และคาดว่าจะคืนทุนได้ในระยะสั้น