เปิดโผ ‘10หุ้น’ พุ่งแรงครึ่งแรกปี63 ‘ศรีตรัง’ แชมป์ราคาวิ่ง 167%

เปิดโผ ‘10หุ้น’ พุ่งแรงครึ่งแรกปี63  ‘ศรีตรัง’ แชมป์ราคาวิ่ง 167%

ผ่านไปแล้วครึ่งทาง สำหรับการลงทุนในปี 2563 โดยภาพรวมแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ณ 29 มิ.ย. 63 ยังคงติดลบ 15.83% ทั้งนี้ หากพิจารณาในหุ้นกลุ่ม SET100 จะเห็นว่า ยังมีหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ 19 บริษัท

โดย 9 ใน 19 บริษัทนี้ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10% ในมุมกลับกัน หุ้นอีก 81 บริษัท ที่เหลือนั้น ให้ผลตอบแทนเป็นลบ โดยมีจำนวนหุ้นถึง 51 บริษัท ที่ผลตอบแทนเป็นลบมากกว่าตลาด

สำหรับหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นมากที่สุดในครึ่งปีแรกคือ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เพิ่มขึ้น 167.50% มาอยู่ที่ 26.75 บาท โดยหลักได้แรงหนุนจากการที่บริษัทเตรียมนำบริษัทย่อยคือบมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (STGT) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเดือน ก.ค. นี้ ซึ่งเป็นการปลดล็อกมูลค่าของบริษัทย่อย ที่ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงมือยางรายใหญ่ของโลก

โดยการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้ STA ได้เงินระดมทุนเข้ามาราว 1.5 หมื่นล้านบาท นำไปใช้ขยายกำลังการผลิตถุงมือยางราว 1.1 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันภายหลังการขายไอพีโอแล้ว STA ก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน STGT ด้วยสัดส่วน 50.7% ซึ่งมูลค่าการถือครองจะสูงขึ้นจากมูลค่าหุ้นของ STGT ที่เพิ่มขึ้น

ส่วนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้มากสุดเป็นลำดับ 2 และ 3 คือ บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM) และบมจ.ซุปเปอร์ เอ็นเนอร์ยี คอร์ปอเรชั่น (SUPER) เพิ่มขึ้น 104.55% และ 66.07% ตามลำดับ

โดยในส่วนของ TQM นั้น จะเห็นว่าผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกำไรสุทธิ 404 ล้านบาท ในปี 2561 เป็น 507 ล้านบาท ในปี 2562 ขณะที่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทำได้ 179 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 68% เช่นเดียวกับ SUPER ที่ผลประกอบการเติบโตขึ้นเช่นกัน จากกำไรสุทธิ 1,045 ล้านบาท ในปี 2561 เป็น 2,137 ล้านบาท ในปี 2562 และไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทำได้ 718 ล้านบาท เติบโต 81%

ทางด้านหุ้นในกลุ่ม SET100 ที่ผลงานน่าผิดหวังที่สุด คือ บมจ.บ้านปู (BANPU) โดยราคาหุ้นลดลง 49.16% มาอยู่ที่ 6.05 บาท ส่วนหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากสุดในลำดับสองและสาม เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ค่อนข้างมาก คือ บมจ.การบินไทย (THAI) และ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) โดยราคาหุ้นปรับลดลง 45.99% และ 45.28% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ทิศทางของหุ้น BANPU ที่ปรับตัวลดลงมาสุดในครึ่งปีแรกนั้น "ศรชัย พิทยาพฤกษ์" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โนมูระ พัฒนสิน มองว่า เป็นผลจากธุรกิจถ่านหิน ซึ่งในภาวะปกติยังคิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของ EBITDA ของบริษัท เมื่อราคาถ่านหินลดลงอย่างต่อเนื่อง ย่อมกดดันให้กำไรของบริษัทลดลงตาม ทั้งนี้ อุตสาหกรรมถ่านหินที่อ่อนแอลง เป็นเพราะทิศทางการใช้พลังงานของโลกนั้นหันไปหาพลังงานสะอาดมากขึ้น

“ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายประเทศมีนโยบายหรือมีแผนที่จะลดการใช้พลังงานถ่านหินลง ทำให้อุปสงค์ถูกกระทบ ในขณะที่อุปทานยังคงมีอยู่มาก ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ธุรกิจถ่านหินก็ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นขาลงต่อเนื่อง”

ขณะเดียวกัน BANPU พยายามที่จะปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงก่อนหน้านี้ จากการเข้าลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ อย่างในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจขาลง และผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมก๊าซเผชิญกับภาวะ oversupply เช่นกัน

“สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้น มองว่าเป็นธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มจะฟื้นตัวกลับมาได้ แต่จะฟื้นกลับมาได้เร็วเพียงใดขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก การที่ราคาหุ้น BANPU จะเริ่มฟื้นกลับมาได้บ้าง ส่วนหนึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับธุรกิจก๊าซที่ลงทุนไปนี้ เพราะในอนาคตความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติยังมีอยู่”

ส่วนกำไรสุทธิไตรมาสแรกที่พลิกกลับมามีกำไรถึง 1.7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 552 ล้านบาท เป็นเพราะกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.3 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษจะมีผลขาดทุนปกติ 1.5 พันล้านบาท ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2 นี้ ผลงานน่าจะต่ำที่สุดในรอบปี

โดย บล.ฟิลลิป ประเมินว่า ผลงานทั้งปีน่าจะขาดทุน 3.2 พันล้านบาท แต่ด้วยราคาหุ้นที่ต่ำว่ามูลค่าทางบัญชีค่อนข้างมาก จึงนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาพื้นฐาน 8 บาท อิง P/BV 0.6 เท่า