‘ลอมบาร์ด’ เชียร์ลงทุนนอก ถือ ‘บอนด์-ทองคำ’ ลดเสี่ยง

 ‘ลอมบาร์ด’ เชียร์ลงทุนนอก  ถือ ‘บอนด์-ทองคำ’ ลดเสี่ยง

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ในประเทศไทยแม้จะคลี่คลายลงชัดเจน ขณะที่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มทยอยคลายล็อกดาวน์ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจน่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ

“จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์” Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะเริ่มฟื้นตัวมาแล้วราว 85% หลังทยอยคลายล็อกดาวน์ แต่กว่าจะเห็นเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวเหมือนช่วงก่อนโควิด หรือฟื้นตัวในระดับ 100% คงต้องใช้เวลาอีกระยะ

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนของ กสิกรไพรเวทแบงก์ คือเน้นการกระจายการลงทุน ในต่างประเทศ เพราะการลงทุนในไทยยังไม่สดใสมากนัก และตัวเลือกการลงทุนยังมีจำกัด ด้วยเหตุนี้ทำให้การลงทุนของ Private banking จึงเน้นลงทุนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

จิรวัฒน์ บอกว่า การเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย เชื่อว่าอาจเห็นอัพไซด์การฟื้นตัวตลาดหุ้นไม่มากแล้ว หรือขึ้นได้อีกราว 5-10% แต่หลังจากนั้นจะเห็นการผันผวนของตลาดหุ้นต่อ เพราะระยะกลางภาพเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ดังนั้นเชื่อว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้นอาจจะอยู่ที่ราว 3-4% ต่อปี หรือมากกว่านี้เล็กน้อย แม้ไม่มาก แต่เชื่อว่าเป็นระดับการลงทุนที่น่าสนใจ และมากกว่าเงินฝากในปัจจุบัน

ด้าน “ศิริพร สุวรรณการ” Financial Advisory Head Private Banking Group กสิกรไทย บอกว่า  หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทาง “กสิกรไพรเวทแบงกิ้ง” ได้นำเงินสดที่ถืออยู่ราว 5-11% ทยอยลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้น ทั้งในหุ้น และกองทุนจีน เอเชีย ยุโรป และ หุ้นเอเชีย ที่เป็นสกุลดอลลาร์ เพื่อไม่ให้เพิ่มความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน 

นอกจากนี้ควรลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ รวมไปถึง ทองคำ เพื่อช่วยพยุงพอร์ต เป็นต้น

ขณะที่ “แซมมี่ ชาร์” หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ ลอมบาร์ด โอเดียร์ กล่าวว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังจากนี้ จะเป็นลักษณะ เป็นลักษณะ Nike-shaped คือเป็น V-shaped ในช่วงแรกของการเปิดเมือง และค่อยๆ ฟื้นตัวในอัตราที่น้อยลงในช่วงท้าย และจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกลับไปใกล้กับก่อนเกิดโควิด-19 ต้องใช้เวลา 2-3 ปี เพราะผลกระทบรอบนี้มีค่อนข้างมาก ดังนั้นคาด เงินเฟ้อน่าจะอยู่ระดับต่ำ ทิศทางดอกเบี้ยมีโอกาสติดลบ และเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น

ประเด็นต้องจับตาคือ การระบาดของโควิด-19 รอบสอง หากเกิดขึ้นอีก เชื่อว่าจะเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจเป็นรูปตัว L ลาวยาว ฟื้นตัวยาก รวมถึงการกีดกันทางการค้าจีน สหรัฐ ที่อาจรุนแรงขึ้น และที่กังวล คือการถอนมาตรการการเงิน การคลัง ของประเทศต่างๆเร็วเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่ ภาวะถดถอย หรือ Resession  อีกครั้งได้ 

ดังนั้น การลงทุนภายใต้เศรษฐกิจที่เติบโตช้า ลอมบาร์ด ฯ มองว่าการจัดพอร์ตลงทุน ควรลงทุนใน หุ้นกู้ และหุ้นที่คุณภาพดี น่าสนใจกว่า เงินฝากหรือตราสารการเงินระยะสั้น เพราะดอกเบี้ยต่ำ ส่วนหุ้นที่น่าลงทุน ต้องเป็นกลุ่มผู้ชนะ เช่นที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเละดิจิทัล ผู้สูงวัยและชนชั้นกลางที่มีรายได้สูง กลุ่มที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเติบโตในช่วงท้ายๆ จะช้าลงและตลาดการเงินจะผันผวนสูง จากปัจจัยเสี่ยงในข้างต้น ดังนั้นเชื่อว่าตั้งแต่ปัจจุบัน จนถึงปลายปี พอร์ตของนักลงทุนควรมีสินทรัพย์ที่ช่วยพยุงมูลค่าเงินลงทุน เช่น พันธบัตรรัฐบาล และทองคำ เป็นต้น

“หุ้นที่ชอบ อยู่ในสหรัฐและเอเชีย ที่เติบโตได้ดีเช่นเกี่ยวกับนิวเทคโนโลยี แต่ไม่ชอบหุ้นในประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มแบงก์ พลังงาน ที่เป็นธุรกิจแบบเก่า และชอบหุ้นกู้และพันธบัตรเพราะยิลด์ดีขึ้น ผลตอบแทนดี ส่วนค่าเงินก็ค่าเงินเยน ดี เพราะมองไปข้างหน้า ค่าเงินดอลลาร์น่าจะอ่อนค่า เพราะดอกเบี้ยอาจไม่สูงต่อไปอีกแล้ว”