พาณิชย์ บี้จีนซื้อ "ข้าว-ยาง" ภายใต้ MOU สินค้าเกษตรรัฐบาลไทย-จีน
“มัลลิกา”เผย “จุรินทร์”สั่งตามงานซื้อขาย”ข้าว-ยางพารา”กับจีน หลังล่าช้ามาก ล่าสุดเหลือข้าวส่งมอบ 3 แสนตัน ยางพารา 1.83ตัน ขณะที่โครงการรถไฟไทย-จีน ซึ่งเป็นเงื่อนไขความร่วมมือมีความคืบหน้าไปมาก
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สั่งการ กรมการค้าต่างประเทศ ทำหนังสือถึงนาย ฉี เจ้าฉื่อ ผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน หรือ NDRC ( National Development and Reform Commission of The people's Republic of China ) หรือคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เพื่อขอให้เร่งรัดการดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-จีน ที่ลงนามข้อตกลง MOU ซื้อขายข้าว 1 ล้านตัน โดยเป็นข้อตกลงระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับ COFCO จีนและการซื้อขายยางพารา 2 แสนตัน ระหว่างการยางแห่งประเทศไทย กับ SINOCHEM จีน ไว้ตั้งแต่ 19 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา
โดยภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทย-จีนทั้งสองฝ่าย มีเป้าหมายร่วมกันที่จะความร่วมมือด้านการค้าควบคู่ไปกับความร่วมมือด้านรถไฟไทย-จีน ซึ่งปัจจุบันความร่วมมือด้านรถไฟมีความคืบหน้าแต่ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตรยังไม่บรรลุผลตามข้อตกลงนี้เท่าที่ควร จึงต้องทำหนังสือทวงถามความคืบหน้าไปยังหน่วยงาน NDRC เพื่อเร่งรัดทั้ง COFCO และ SINOCHEM ของทางการจีนให้ดำเนินการซื้อข้าวและยางพารากับฝ่ายไทยให้แล้วเสร็จตามกำหนดโดยเร็ว เพราะปริมาณดังกล่าวนี้จะทำให้ยกระดับราคาผลผลิตช่วยเกษตรกรได้มาก
นางมัลลิกา กล่าวว่า ล่าสุดความคืบหน้าการดำเนินการการตามข้อตกลงดังกล่าวว พบว่า ข้าวได้ส่งมอบแล้ว 7 แสนตัน คงเหลืออีก 3 แสนตันซึ่งได้ปรับแก้ไขปริมาณการส่งมอบแต่ละงวดจากเดิม 0.8-1 แสนตัน เป็น 0.2-1 แสนตัน ในส่วนการเร่งรัดทางการจีนนั้นทางกรมการค้าต่างประเทศได้ทำหนังสือเร่งรัด COFCO หลายครั้งแล้ว ล่าสุด ทาง COFCO ขอให้ไทยเสนอราคาที่แข่งขันได้จึงจะพิจารณารับซื้อเนื่องจากราคาข้าวไทยสูงกว่าผู้ส่งออกอื่นโดยในขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากสมาคมผู้ส่งออกข้าว
ส่วนเรื่องยางพารา ทางการยางแห่งประเทศไทย (กยท) แจ้งว่าการส่งมอบยาง 11 งวดที่เหลือปริมาณ 1.83 แสนตันนั้นทางจีนชะลอการซื้อโดยอ้างว่ายังไม่มีความชัดเจนเรื่องโครงการความร่วมมือทางรถไฟ ฯ แต่ทางนายจุรินทร์ ให้ติดตามจนทราบว่าทางรถไฟไทย-จีน รายงานผลการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือรถไฟมีความคืบหน้ามากโดยได้ข้อยุติร่วมกันในสัญญาระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร วงเงิน 5.06 หมื่นล้านบาท ในเส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา คาดว่าจะสามารถลงนามได้ภายในเดือนต.ค.ลาคม 2563 โดยจะเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานลงนามซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศไทย เท่ากับว่ากรณีความร่วมมือทางด้านรถไฟมีความคืบหน้าแล้ว