'แสนสิริ' เจาะลีสโฮลด์เมืองท่องเที่ยว จับตลาด 'บ้านหลังที่ 2' ต่างชาติ

'แสนสิริ' เจาะลีสโฮลด์เมืองท่องเที่ยว จับตลาด 'บ้านหลังที่ 2' ต่างชาติ

“แสนสิริ” พลิกกลยุทธ์ลุยขายบ้านแบบเช่าซื้อเมืองท่องเที่ยว ชูเชียงใหม่ ภูเก็ต เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติต้องการบ้านหลังที่2 เผยครึ่งปีหลังโฟกัสแนวราบ รับเทรนด์นิวนอร์มอลหลังโควิด พร้อมปรับเป้ายอดโอนเพิ่มเป็น 39,000 ล้านบาท

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยตลาดต่างชาติจะกลับมา โดยเฉพาะชาวจีน ที่เริ่มจะมองหาบ้านหลังที่2 นอกประเทศ โดยจะต้องมีความปลอดภัย และมีระบบสาธารณสุขที่ดี จากการรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19ที่ผ่านมา ทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทย โดยเฉพาะการจับกลุ่มตลาดต่างชาติที่ต้องการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) ในรูปแบบบ้านหรือทาวน์โฮม ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี อาทิ ผลตอบรับของโครงการบุราสิริ สันผีเสื้อ จ.เชียงใหม่ ในรูปแบบการเช่าซื้อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มียอดขาย 200-300 ล้านบาทจากจำนวน40ยูนิตและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ล่าสุดในปีนี้มียอดขายเข้ามา 3 ยูนิตผ่านเอเจนต์ โดยปัจจุบันบริษัทที่มียอดขายจากการเช่าซื้อจำนวน 700-800 ล้านบาท ระดับราคาตั้งแต่ 5-7 ล้านบาทต่อยูนิต โดยจะเน้นการขายบ้านแนวราบในโครงการตามหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต

“ ที่ผ่านมาเราทำน้อยแต่ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสัดส่วนรายได้จากการขายดังกล่าวจะพบมากในจังหวัดท่องเที่ยวที่กลุ่มลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ และต้องการมีที่อยู่อาศัยแนวราบ แต่ด้วยกฎหมายของประเทศไทยไม่อนุญาตให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยขายพร้อมที่ดิน ไม่เหมือนกับคอนโดมิเนียมที่ผู้ซื้อชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ได้ตามกฎหมายจึงต้องการจะขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มนี้มากขึ้น”

นายอุทัย กล่าวว่า แผนดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของตลาดแนวราบ จึงเปิดตัว “Sansiri Housing Evolution” เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ 1.2-20 ล้านบาท เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังที่อยู่อาศัยแนวราบจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากความต้องการทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ และเทรนด์ความต้องการบ้าน 2 เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่า ยังรวมถึงการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนมาทำงานที่บ้าน (Work From Home)มากขึ้น รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม(Social Distancing)ทำให้ความต้องการบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นด้วย

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เชื่อว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น จากการเน้นขายโครงการแนวราบเป็นกลยุทธ์หลัก ควบคู่กับการรักษายอดขายและยอดโอนกรรมสิทธ์ โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 16,900 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวและโครงการทาวน์โฮม จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,300 ล้านบาท และโครงการคอนโด จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท

สำหรับโครงการแนวราบที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง จำนวน 10 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เศรษฐสิริ จำนวน 2 โครงกา โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ สราญสิริ จำนวน 1 โครงการ โครงการทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ในเซกเมนต์กลาง และ ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ภายใต้แบรนด์ อณาสิริ จำนวน 4 โครงการ และโครงการภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส จำนวน 3 โครงการ

โดยในช่วงที่ผ่านมายังได้ประกาศเป้าหมายยอดขาย (Presale) สะสม 3 ปี (ปี 2563-2565) ไว้ที่ 120,000 ล้านบาท โดยได้ปรับเป้าหมายยอดขายรวมเพิ่มเป็น 35,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากปีก่อน แบ่งเป็น ยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 17,000 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการแนวราบ จำนวน 18,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรก บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 22,000 ล้านบาทล่าสุดได้ปรับเป้ายอดโอน จาก 33,000 ล้านบาท เป็น 39,000 ล้านบาท หลังยอดโอนใน 5 เดือนที่ผ่านมา 18,200 ล้านบาท

“ในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจโครงการแนวราบด้วยการยกระดับแนวคิด ปรับและเปลี่ยนด้วยการปฎิวัติ 5 ด้านได้แก่ แบรนด์ สินค้า ดีไซน์ บริการอัจฉริยะ กรีนลีฟวิ่งและ ระบบรักษาความปลอดภัย ที่มาจากคอนซูมเมอร์อินไซต์ของผู้บริโภคเพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดบ้านเดี่ยว และ ท็อปทรี ในตลาดทาวน์โฮมภายใน 3 ปี ”นายอาณัติ กล่าว