'พิชัย' ห่วงสุญญากาศการเมือง ทำเศรษฐกิจยิ่งทรุด

'พิชัย' ห่วงสุญญากาศการเมือง ทำเศรษฐกิจยิ่งทรุด

“พิชัย” ห่วง สุญญากาศการเมือง ทำเศรษฐกิจยิ่งทรุด ชี้ ปลดล็อกยกเลิกเคอร์ฟิวแต่คง พ.ร.ก ฉุกเฉิน ทำภาพลักษณ์ไทยเสียหาย เสนอ ดิจิตัลไทยแลนด์ฟื้นฟูปรับเปลี่ยนประเทศ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามกระแสข่าวการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ยังไม่มีข้อสรุป เหมือนเป็นสูญญากาศทางการเมือง ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยย่ำแย่หนักลงทุกวัน

ตัวเลขเศรษฐกิจน่าเป็นห่วงมาก บางสำนักให้เศรษฐกิจไทยติดลบถึง -8.8% แต่รัฐบาลกลับไม่มีทิศทางที่จะแก้ไขอย่างชัดเจน ข้าราชการก็ไม่แน่ใจว่าควรดำเนินการแบบไหน เพราะผู้ที่กำลังบริหารอยู่อาจจะต้องถูกปรับออกไปเร็วๆ นี้ คนใหม่ที่จะเข้ามา จะยังใช้แนวทางเดิมหรือไม่ เพราะแนวทางที่ทำอยู่น่าจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เลย เพราะเป็นแนวทางที่น่าจะล้าสมัยแล้ว ถ้ายังใช้แนวคิดเดิมและทำแบบเดิม โดยหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาที่เดิม แต่ความจริงคือเศรษฐกิจที่เดิมที่รัฐบาลทำมาตลอดก็ยังย่ำแย่มาก ดังนั้นหากจะมีการปรับ ครม. เศรษฐกิจ ก็ควรจะต้องเร่งดำเนินการ และผู้ที่เข้ามาจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ โดยต้องมีแนวคิดใหม่เพื่อปรับประเทศให้เข้ากับอนาคตของโลกให้ได้

ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงการแก้ไขทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ไปพร้อมกันถึงจะแก้ไขได้ การจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยละเลยการแก้ไขด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย จะไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากพลเอกประยุทธ์จะปรับครม. เศรษฐกิจ ทั้งหมด ก็เท่ากับตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ลดทิฐิ และได้กลับไปศึกษาแนวคิดที่ผมเองได้เคยเสนอมาตลอดซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของทีมเศรษฐกิจที่บริหารล้มเหลวนี้ จนตนเองถูกเรียกตัวถึง 12 หน ทั้งปรับทัศนคติและการดำเนินคดี ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะปรับเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นได้อย่างไร แล้วนำมาปรับเปลี่ยนการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็น่าจะช่วยเศรษฐกิจไม่ให้ย่ำแย่ลงไปอีก

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาว่าประเทศไทยจะพัฒนาได้อย่างไรจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพียงเพื่อสืบทอดอำนาจอย่างที่เป็นอยู่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้และไม่มีประโยชน์ วุฒิสภาที่ไม่ได้มีคุณค่าในสายตาประชาชน ระบบเลือกตั้งที่ผิดเพี้ยน การปฏิบัติตัวของ สส. ที่ไม่เป็นตัวอย่างให้กับประชาชน รวมถึงความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเทศเสื่อมลง อีกทั้งสภาวะสังคมที่เสื่อมทราม การยืมทรัพย์คงรูปที่จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการทุจริตคอรัปชั่นในอนาคต ข่าวคราวการกลั่นแกล้งคนเห็นต่าง ถึงขนาดมีข่าวว่าคนไทยถูกหุ้มหายและหลายคนถูกฆ่าในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น รวมถึงภาพพจน์ของประเทศไทยในสายตาของสื่อหลักต่างประเทศที่ย่ำแย่มาโดยตลอด ยิ่งล่าสุด รัฐบาลสั่งปลดล็อกและยกเลิกเคอร์ฟิว แต่กลับยังคง พรก. ฉุกเฉิน ทำให้ยิ่งตอกย้ำที่สื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ว่ารวบอำนาจ เพราะน่าจะกลัวโดนประชาชนและนักศึกษาขับไล่

ดังนั้น พลเอกประยุทธ์จะต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นรอบด้านเพื่อพัฒนาทักษะความรู้ จะทำเหมือนในอดีตไม่ได้ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักหนาสาหัสมาก จะทำเป็นไม่รู้แต่ไม่ฟังไม่ได้แล้ว และหากบริหารผิดทางเหมือนในอดีตจะยิ่งทำให้ประเทศไทยย่ำแย่ลงไปอีกนาน และจะไม่มีเหลือเงินทุนเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนประเทศแล้วเพราะรัฐบาลได้กู้เงินใช้เต็มวงเงินแล้ว จนหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 ล้านล้านบาทแล้ว ซึ่งตั้งแต่นี้ไป ตนจะขอเสนอแนวคิดการแก้ไขปัญหาทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวทางที่ตนได้เสนอไว้แล้ว คือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น ระบบดิจิตัลทั้ง หมด (Digitalization) โดยเริ่มต้นจากปรับเปลี่ยนระบบราชการ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมให้ประเทศไทยพัฒนาตามโลกได้ทัน และจะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศจะฟื้นกลับมาได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไทย เช่น การผูกขาด การคอรัปชั่น การหนีภาษี และ ความเหลื่อมล้ำได้ด้วย เป็นต้น ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนแล้วคือประเทศเอสโตเนียที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียดในอดีตและพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้า ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมดเพื่อให้ฟื้นตัวก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง

ในภาวะวิกฤตินี้ไม่มีโอกาสที่พลเอกประยุทธ์จะทำผิดซ้ำซากอีกแล้ว ดังนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องเปิดใจกว้างรับฟังทุกเรื่องและนำไปศึกษาให้ชัดเจน ก่อนที่จะดำเนินการหรือแม้กระทั่งการสื่อสารให้ถูกต้อง จะพูดและจะทำผิดๆถูกๆอีกไม่ได้แล้ว ซึ่งยิ่งทำผิดซ้ำซ้อนเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายกับรัฐบาลมากขึ้น และจะหนีไม่พ้นความพยายามที่จะขับไล่ผู้นำรัฐบาลอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเพียงพอก็ควรจะต้องลาออกไป อย่าทำให้ประเทศเสียหายยิ่งไปกว่านี้