กกร.หนุนรัฐเข้าร่วมเจรจา CPTPP ชี้หากเสียมากกว่าได้ ยังมีเวลาถอนตัว

กกร.หนุนรัฐเข้าร่วมเจรจา CPTPP ชี้หากเสียมากกว่าได้ ยังมีเวลาถอนตัว

กกร.หนุนรัฐเข้าร่วมเจรจา CPTPP ชี้หากเสียมากกว่าได้ ยังมีเวลาถอนตัว โยงสหรัฐถอนตัวปี 60

นายปรีดี  ดาวฉาย  ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ “กกร” ซึ่งประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย มีข้อสรุปในเรื่องข้อตกลงที่ครอบคุลมและความก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ "CPTPP" โดยเห็นควรสนับสนุนให้ประเทศไทย เข้าร่วมเจรจากับกลุ่มประเทศภายใต้ข้อตกลง CPTPP ในเดือนสิงหาคม 2563 เนื่องจากการเข้าร่วมเจรจาจะทำให้เห็นถึงผลดีหรือผลเสียต่อการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีตามข้อตกลง CPTPP ซึ่งกระบวนการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีนั้น มีขั้นตอนค่อนข้างมาก  และใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก  เริ่มตั้งแต่การขอเข้าร่วมเจรจากับภาคึ  ซึ่งขณะนี้มีประเทศที่มีผลบังคับใช้แล้วประมาณ 7 ประเทศ และรอการผ่านขั้นตอนตามกฎหมายอีก 4 ประเทศ

เพราะฉะนั้น ขั้นตอนต่าง ๆ หลังจากนั้นก็ต้องนำมาเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วก็มีการรับประชาพิจารณ์  และสุดท้ายกว่าจะมีผลผูกพันได้  ก็จะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาเห็นชอบ  ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ดังกล่าวเหล่านี้  คาดว่าหากดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ต่าง ๆ น่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี  เพราะฉะนั้น  หากไม่เริ่มวันนี้  ไทยก็จะไม่สามารถสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศได้

อย่างไรก็ตาม  หากในวันข้างหน้าพบว่ามีประเด็นปัญหาที่ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่จะได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าสิ่งที่จะเสียไป การถอนตัวในระยะข้างหน้าก็สามารถทำได้  เหมือนกับที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถอนตัวในปี 2560 โดยเวลานี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าประโยชน์  หรือโทษที่มีวันนี้คืออะไร  เพราะฉะนั้น  กกร.จึงเห็นว่าการเข้าร่วมเจรจาจะเป็นประโยชน์กับไทย  เพื่อให้ไทยทราบถึงข้อตกลง  และเป็นประโยชน์สำหรับการปรับตัวของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก  โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน

“การเจรจาเรื่อง CPTPP เข้าใจว่ามีอยู่ประมาณ 3-4 หัวข้อ ปัจจุบันเท่าที่ประเมินว่าข้อใดไทยได้ประโยชน์  ข้อใดไทยเสียประโยชน์นั้น  มองว่ายังไม่ใช่ข้อสรุป  เพราะกระบวนในการเข้าไปเจรจายังไม่ถึงจุดที่ว่าจะสรุปอย่างไร ส่วนใดได้ประโยชน์  ส่วนใดเสียประโยชน์  ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดปีไหน  เมื่อจบแล้วจึงจะนำมาสู่การพิจารณาของ ครม. และการทำประชาพิจารณ์  ถึงจะไปสู่ขั้นตอนของรัฐสภา  โดยสหรัฐฯเองเข้าร่วมอยู่ประมาณ 3-4 ปี แล้วมีการถอนตัว ด้วยความรู้สึกว่าเสียเปรียบก็ยังสามารถทำได้”

             

อย่างไรก็ดี หากถามว่าไทยจะไม่เข้าร่วม CPTPP ได้หรือไม่  ก็คงจะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศคืออะไร  หากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งทางการค้าโดยธรรมชาติ  หากประเทสเหล่านั้นเข้าร่วมไปแล้ว  นั่นหมายความว่าไทยจะไม่สามารถเข้าไปค้าขายในกลุ่มดังกล่าวนั้นได้อย่างสะดวกสบาย  หรือได้รับสิทธิ์พิเศษเหมือนประเทศที่อยู่ในกลุ่ม  ซึ่งก็จะเป็นความเสียหายอีกรูปแบบหนึ่งที่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นตัวเลขมากน้อยเพียงใด

“ยกตัวอย่างทาง EU ซึ่งจะมีข้อตกลงเหล่านี้  โดยที่ในเบื้องต้นข้อตกลงบางส่วนจะมีความคล้ายคลึงกัน  หากเราบอกว่าเราไม่ไปทำเลย  เราก็จะไปตกลวกับใครไม่ได้  ซึ่งอาจจะต้องค้าของอยู่คนเดียว  โดยเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไปบอกว่าไม่ร่วม  หรือร่วม  ซึ่งคงต้องให้เวลาเพื่อให้ทุกอย่างชัดเจน  โดยเท่าที่ทราบข้อมูลที่มีการประเมินตัวเลขในปัจจุบันก็ค่อนข้างที่จะเก่า  ซึ่งอาจจะทำให้การคาดการณ์ไปในระยะข้างหน้าอาจจะไม่แม่นยำ  เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นเหตุในหลายๆข้อที่เหตุใด  กกร. ถึงประเมินว่าจุดเริ่มต้นของการเข้าไปร่วมเจรจาควรจะเกิดขึ้น  หากไม่ร่วมปีนี้รออีก 1 ปี ประเทศที่ยังไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกก็จะมีสมัครเข้าไป  เราก็ยิ่งช้า  และความยากลำบากในการทำงานก็จะมีมากขึ้น”

กกร.หนุนรัฐเข้าร่วมเจรจา CPTPP ชี้หากเสียมากกว่าได้ ยังมีเวลาถอนตัว

อย่างไรก็ตาม  ต้องเรียนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคี  เพราะท้ายที่สุดแล้วก็จะต้องรอเวลาจนทุกอย่างชัดเจน  หลังจากนั้นจึงค่อนมาสรุปกันอีกครั้งหนึ่ง  โดยการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมเจรจาหรือไม่ขึ้นอยู่กับภาครัฐ  ซึ่งเป็นข้อดีที่ภาครัฐเองพยายามฟังความเห็นของทุกภาคส่วน  โดยกระบวนการในลำดับถัดไปคาดว่าจะมีการประชุมในเดือนสิงหาคม  เพราะฉะนั้นภาครัฐก็น่าจะตัดสินให้ทันก่อนที่ภาคีจะมีการประชุม  และแสดงเจตจำนงว่าจะเข้าร่วมหรือไม่  หากไม่เข้าร่วมก็ถือว่าสิ้นสุด

“รายละเอียดเรื่องสัญญาต่างๆคงจะต้องมาหารือกัน  และต้องทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากที่สุด  เพราะเรื่องดังกล่าวนี้ค่อนข้างครอบคลุมหลายภาคส่วน  ซึ่งจะทำให้ได้รับปลกระทบทางบวกและลบที่ไม่เหมือนกัน  ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนให้ชัดเจน  แต่อย่างเพิ่งไปกังวลล่วงหน้า เพราะ กกร. เองก้ยังไม่ทราบว่าผลที่จะออกมานั้นเป็นอย่างไร แม้กระทั่งการเข้าไปเจรจาก็อาจจะยังไม่สามารถตอบได้  แต่หากไม่เข้าไปเลยก็จะไม่รู้อะไรเลย  โดยสิ่งที่น่าห่วงคือหากประเทศอื่นจับมือกันค้าขายแล้วไทยไม่เข้าร่วมกลุ่ม  ซัพพลายเชนหรือผู้ที่มาลงทุนในไทย  เห็นว่าประเทศอื่นมีผลประโยชน์ทางการลงทุนที่มากกว่าก้อาจจะย้ายฐานการลงทุนได้  ซึ่งจะเป็นความเสียหายอีกด้านหนึ่ง”

ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ว่า กกร. จะรู้สึกว่าส่วนที่เสียอย่างที่เป็นห่วงเรื่องของพรรณพืช  ก็จะต้องประมวลรวมมาทั้งหมด  แต่วันนี้ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ชัดเจนในมุมแบบนั้น            

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี  ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า  แม้ไทยจะเข้าร่วมเจรจา CPTPP แต่เมื่อถึงเวลาก็ยังจะต้องเข้าสู่กลไกอีกหลายภาคส่วน  ไม่ว่าจะเป็นการทำประชาพิจารณ์  การนำเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งกว่าจะผ่านขั้นตอนทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลาหลายปี  อีกทั้งทุกขั้นตอนก็สามารถระงับได้  หากเห็นว่าไทยจะเสียประโยชน์มากกว่าได้

สำหรับ กกร. เองได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา มีนายสนั่น  อังอุบลกุล  รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเป็นประธาน  และมีการประชุมโดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ  และผู้ที่ไม่เห็นด้วยเข้ามารวบรวมข้อมูลแล้ว 1 รอบ หลังจากนั้นก็จะมีการรวบรวมข้อมูลที่ชัดเจนแบบตกผลึกว่าอะไรที่รัฐบาลควรจะต้องให้ความสำคัญในการเข้าไปเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ได้  ส่วนเรื่องของการลงทุนเวลานี้ไม่ใช่แค่เพียงแค่การซื้อขาย  แต่เป็นเรื่องของการลงทุน เดิมทีในอดีตทุกคนจะพูดถึงเรื่องห่วงโซ่อุปทานของโลก (Global Supply Chain) ประเทศใดน่าสนใจก็ไปลงทุนที่นั่น 

กกร.หนุนรัฐเข้าร่วมเจรจา CPTPP ชี้หากเสียมากกว่าได้ ยังมีเวลาถอนตัว

แต่หลังจากโควิด-19 ผ่านพ้นไป  จะกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่น (Local Supply Chain) เป็นหลัก  เพราะฉะนั้นโอกาสของการปรับย้ายการลงทุนจะมีเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลในอนาคต  เพราะนักลงทุนจะพยายามรวมจุดในจุดที่ได้ประโยชน์มากที่สุด  จะไม่กระจายไปหลายจุด  ซึ่งจะเปลี่ยนวิถีของโลก

              นายกลินท์  สารสิน  ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า CPTPP เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทั้ง 3 องค์กรเห็นด้วยที่รัฐบาลควรจะเข้าไปร่วมเจรจา เพื่อให้รู้เขารู้เราว่าเป็นอย่างไร  โดยอีกไม่นานจะมีการจัดสัมมนา  เพื่อนำข้อมูลที่แท้จริงมาชี้แจงให้ได้ทราบว่า CPTPP คืออะไร  และประชาชนเองก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ด้วยว่ามีความเป็นห่วงด้านไหน  อย่างไรเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาสำหรับรัฐบาล

              “การสัมมนาจะช่วยในเรื่องของการรวบรวมข้อมูลในส่วนที่ไม่เห็นด้วย  เพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลเวลาไปเจรจาต่อรอง ซึ่งจะเป็นข้อสังเกตไป  โดยหากเห็นว่าไทยจะเสียประโยชน์ ทั้ง 3 องค์กรจะออกมาคัดค้านอย่างแน่นอน”