"Energy" Sector (8 มิ.ย.63)

"Energy" Sector (8 มิ.ย.63)

ขยายเวลาลดอปทาน ุ 9.7MBD ไปถึงเดือนกรกฎาคม

Event

ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นกลุ่มพลังงานสิบตัวที่เราดูแลอยู่

Impact

ตลาดนํ้ามันดิบ: OPEC+ ตกลงขยายดีลลดอุปทาน 9.7MBD ออกไปอีกหนึ่งเดือน

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศ OPEC ซึ่งนำโดยซาอุดิอาระเบีย และ non-OPEC ซึ่งนำโดยรัสเซียเห็นชอบที่จะขยายข้อตกลงลดการผลิตลง 9.7MBD ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้สมาชิกที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเช่น อิรักและไนจีเรีย ชดเชยด้วยการลดการผลิตลงมาก
เป็นพิเศษในเดือนต่อๆ ไป ซึ่งการลดอุปทานลงนี้จะทำให้อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกสูงเกินอุปทานตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป (Figure 4-5) และจะทำให้สต็อกน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงเร็วขึ้น โดยในรายงาน Short-Term Energy Outlook (STEO) เดือนพฤษภาคมของ EIA ประเมินว่าสต็อกน้ำมันดิ
เพิ่มขึ้น 6.6MBD ใน 1Q63 และ 11.5MBD ใน 2Q63 หรือคิดเป็นส่วนเกินอยู่ประมาณ 1,500 ล้านบาร์เรลจากผลกระทบของ COVID-19 ในขณะเดียวกันซาอุดิอาระเบีย, UAE และคูเวต ที่ลดการผลิตเพิ่มเป็นพิเศษรวมกัน 1.18MBD ในเดือนมิถุนายน ไม่ได้มีการระบุว่าจะลดการผลิตส่วนนี้ต่อหลังจาก
นั้นอีกหรือไม่ ในขณะที่ Joint ministerial monitoring committee (JMMC) ซึ่งจะมีการจัดประชุมกันทุกเดือนเพื่อทบทวนภาวะอุปสงค์/อุปทานในตลาด การปฏิบัติตามข้อตกลง และระดับการลดอุปทาน ได้กำหนดการประชุมรอบหน้าในวันที่ 18 มิถุนายน ทั้งนี้เรายังคงราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2563 เอาไว้ที่
US$45/bbl และปี 2564 เอาไว้ที่ US$53/bbl

ตลาดโรงกลั่น: อาจจะพลิกโผมีกำไรจากสต็อกนํ้ามันใน 2Q63F

เรายังคงเชื่อว่า base GRM ของโรงกลั่นในประเทศใน 2Q63 จะฟื้นตัวขึ้น QoQ เนื่องจากต้นทุน crude premium จากตะวันออกกลางลดลงใน 2Q63 และอุปสงค์การใช้น้ำมันกลับคืนมาหลังจากที่การระบาดของ COVID-19 ลดลง ทั้งนี้จากบทวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ประจำสัปดาห์ของ KGI คาดว่า implied
Thai GRM พุ่งขึ้นถึง 56% จาก 1Q63 เป็น US$2.8/bbl ใน 2QTD63 นอกจากนี้ เรายังคาดว่าโรงกลั่นในประเทศจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันใน 2Q62 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบพุ่งสูงขึ้นจาก US$34/bbl ในเดือนมีนาคม เป็นกว่า US$40/bbl ในเดือนมิถุนายน เนื่องจาก OPEC+ ลดอุปทานลง 9.7MBD ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม จากเดิมที่เราประเมินว่าจะไม่มีกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันใน 2Q63

ตลาดปิโตรเคมี: ยังคงมองลบกับแนวโน้มปี 2563

เรายังคงมองลบกับทั้งธุรกิจ olefins และ aromatics เนื่องจากจะมีอุปทานก้อนใหญ่เพิ่มเข้ามาในตลาดนอกจากนี้ spread ของ polyethylene (PE), PP, PX และ BZ จะถูกกดดันจากต้นทุน naphtha ที่แพงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในขาขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม PTT Global Chemical(PTTGC.BK/PTTGC)* ซึ่งเป็นผู้ผลิต olefins ซึ่งใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบจะได้อานิสงส์จากราคา HDPE ที่เพิ่มขึ้น จากที่ลดลงไปต่ำสุดในรอบสิบปีที่ US$710/ton ในปลายเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ US$800/ton ในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะทำให้ margin ของธุรกิจ olefins สูงขึ้น ทั้งนี้ราคา HDPE ที่ต่ำกว่า US$1,000/ton ยังคงถือเป็นระดับที่ต่ำมาอยู่

Valuation and action

เรายังคงเลือก TOP, SPRC และ ESSO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มเราได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้นสิบตัวในกลุ่มพลังงานที่เราดูแลอยู่ (Figure 2) เนื่องจากเราขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย 1H64 ในขณะที่ยังคงอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงในปี 2564 ของทุกบริษัทเอาไว้เท่าเดิม นอกจากนี้ เรายังคงมองบวกกับการขยายเวลาลดอุปทาน 9.7MBD ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม และเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า US$40/bbl ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)*, PTT (PTT.BK/PTT TB)* และ PTTGC นอกจากนี้ เราได้ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น PTTGC จากขายเป็นถือ เพื่อสะท้อนถึงราคา polyethylene (PE) ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเราจะเป็นกังวลกับภาวะอุปทานล้นตลาดซึ่งจะยังคงจำกัดการฟื้นตัวของ spread ใน 2H63 ทั้งนี้เรายังคงเลือก Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)*, Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* และ ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)* เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มเพราะเราคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 2Q63 เนื่องจาก i) ไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันก้อนใหญ่เหมือนใน 1Q63 และ ii) base GRM เพิ่มขึ้น