ปัจจัยภายนอกหนุน

ปัจจัยภายนอกหนุน

ระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่เข้ากดดันจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัวของดัชนีรวมถึงภาวะ Overbought ทางสัญญาณเทคนิค

ตลาดหุ้นเมื่อวันจันทร์

SET Index ปรับตัวขึ้น 25 จุด (+1.75%) ปิดที่ระดับ 1,436 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 1.2 แสนล้านบาท ดัชนีปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก นักลงทุนคาดหวังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวหลังประเทศต่างๆคลาย lockdown ,ECBเพิ่มวงเงินในการซื้อสินทรัพย์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังเข้าซื้อหุ้นกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรฯ คาดหวังกลุ่ม OPEC+ ขยายเวลาลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรลออกไปอีกอย่างน้อย 1- 2 เดือน ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 52 ล้านบาท, ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 623 ล้านบาท แต่ Net Short TFEX 15,224 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นบวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,450 – 1,460 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตาม sentiment เชิงบวกตลาดหุ้นรอบบ้านที่ดีดตัวขึ้นเนื่องจากเซอร์ไพส์ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง และอัตราการว่างงานลดลงสู่ 13.3% หลังผ่อนคลาย Lockdown Covid-19 ซึ่งคาดว่าภาวะเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 40 US/Barrel หลังโอเปกพลัสขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 9.7 ล้านบาร์เรล/วันออกไปจนถึงเดือนก.ค. อย่างไรก็ตาม ควรระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่เข้ากดดันจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัวของดัชนีรวมถึงภาวะ Overbought ทางสัญญาณเทคนิค

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP TOP PTTGC IRPC SPRC IVL ) อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น
  • MINT CENTEL ERW AOT คาดหวังครม.ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้
  • AMATA WHA คมนาคมเตรียมสรุปโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่ง EEC เฟส 2  ใน 1 เดือนก่อนชงเรื่องต่อให้กพอ.
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น  ( CKP TASCO STA RS )

หุ้นแนะนำวันนี้

  • PTTEP (ปิด 98.75 ซื้อ/เป้าสูงสุด IAA Consensus 101) ได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นทะลุระดับ 40$/bbl ส่งผลบวกโดยตรงต่อทิศทางผลประกอบการของ PTTEP (Oil link) ประกอบกับ PTTEP เป็นตัวเดียวในกลุ่มที่ราคายังต่ำกว่าช่วงเกิด Price war ในตลาดน้ำมันเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2020
  • BAM (ปิด 24.8 ซื้อ/เป้าสูงสุด IAA Consensus 29.5) ได้รับคัดเลือกในดัชนี MSCI รอบใหม่จึงเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนต่างชาติ แนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี NPLs มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เป็นโอกาสของผู้ประกอบการติดตามหนี้และบริหารสินทรัพย์ จากการเข้าซื้อ NPLs ในราคาที่ถูกลง (แย่งกันขาย) หนุนพอร์ตลูกหนี้ในมือเพิ่มขึ้นรอออกดอกผลเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

บทวิเคราะห์วันนี้

BTS (ปิด 12.0 ปรับลดเป็นถือ/เป้า 13.5), Commerce sector (Top pick: CPALL)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง : เมื่อวันศุกร์ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์เพิ่มขึ้นแรงกว่า 829 จุด (+3.15%) ปิดที่ระดับ 27,111 จุด สูงสุดในรอบ 3 เดือน นักลงทุนคาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังจากที่สหรัฐประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน พ.ค.พลิกเป็นเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 8.33 ล้านตำแหน่ง และดีขึ้นอย่างมากจากเดือน เม.ย.ที่ลดลง 20.6 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราการว่างงานเดือน พ.ค.ลดลงสู่ระดับ 13.3% ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 19.5% และลดลงจากเดือน เม.ย.ที่ 14.7%
  • (+) OPEC+ มีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันไปอีก 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือน ก.ค. : กลุ่ม OPEC+ จัดประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยที่ประชุมมีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีก 1 เดือน จนถึงสิ้นเดือน ก.ค.จากที่มาตรการเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2020 โดยหลังจากนี้คณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม OPEC (JMMC) จะจัดประชุมกันทุกเดือนจนถึงเดือนธ.ค. 2020 เพื่อตรวจสอบกลุ่มประเทศว่ามีการปฏิบัตตามข้อตกลงหรือไม่ เรามองการขยายเวลาลดกำลังการผลิตจะช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดยังปรับตัวขึ้นโดยมีเป้าหมายถัดไป อยู่ใกล้ระดับราคาก่อนเกิด Price war ของตลาดน้ำมัน ที่ระดับ 45-55$/bbl  เป็น Sentiment บวกโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน โดยเฉพาะโรงกลั่นและปิโตรฯ ซึ่งคาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบใน 2Q20
  • (+/-) สัปดาห์นี้ ติดตาม Fed meeting คาดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% ตามเดิม ส่วนในประเทศติดตาม ศบค.พิจารณาปลดล็อกกิจกรรมเศรษฐกิจเฟส 4 : คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐมีกำหนดประชุมเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงวันที่ 9-10 มิ.ย. 2020 เรายังมั่นใจว่าเฟดจะยังเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% และเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE) แบบไม่จำกัดวงเงินตามเดิม สอดคล้องกับ CME Group คาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสสูงถึง 90%  นอกจากนี้ CME Group ยังคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% ไปจนถึงต้นปีหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศติดตาม ศบค.เตรียมพิจารณาปลดล็อกกิจกรรมเศรษฐกิจในระยะที่ 4 คาด กลุ่มงานอีเวนต์ งานแสดงคอนเสิร์ต โรงเรียนและสถาบันการศึกษารวมไปถึง โรงยิม สามารถกลับมาดำเนินการได้ เป็น Sentiment บวกต่อภาพรวมของตลาด