เชื้อไฟใน 'อเมริกา'

เชื้อไฟใน 'อเมริกา'

เหตุการณ์ตำรวจผิวขาวฆ่าชายผิวดำเป็นชนวนจุดเชื้อไฟให้เริ่มปะทุขึ้น สถานการณ์เช่นนี้แทนที่ทรัมป์จะแสดงความเป็นผู้นำด้วยความเห็นอกเห็นใจและพยายามประสานทุกฝ่ายให้ร่วมมือกัน กลับใช้วิธีก้าวร้าว ซึ่งเท่ากับการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ 

อเมริกาลุกเป็นไฟ หลังชายผิวดำถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นโดยตำรวจผิวขาวเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ในขณะที่เขียนบทความนี้เมื่อคืนวันอังคาร สถานการณ์เลวร้ายยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ การลุกเป็นไฟครั้งนี้มีปัจจัยพื้นฐาน 2 ด้าน รวมกันเป็นเชื้อเพลิงกองใหญ่ซึ่งถูกเสริมด้วยปัจจัยปัจจุบัน

เนื่องจากชนวนจุดไฟได้แก่ความตายของชายผิวดำ ปัจจัยที่ถูกเน้นย้ำ ได้แก่ การถูกกดขี่ของคนผิวดำในอเมริกา ปัจจัยนี้มีความเป็นมาอันยาวนาน และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มองเห็นได้ไม่ยาก เนื่องจากคนผิวดำตกอยู่ในสภาพเบี้ยล่าง หลังเริ่มถูกนำไปยังอเมริกาในฐานะทาสเมื่อปี 2162 เมื่อสหรัฐประกาศเอกราชในปี 2319 คนผิวดำไม่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นมนุษย์ เพราะเป็นทาสที่ปราศจากสิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ

คนผิวดำเป็นทาสต่อมาอีกเกือบ 80 ปี จึงเริ่มมีความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐบาลประกาศเลิกทาส กระนั้นก็ตามคนผิวดำยังถูกมองว่าไม่มีความเป็นมนุษย์เท่าคนผิวขาว เนื่องจากรัฐบาลยอมรับข้อกำหนดแยกคนตามสีผิว สภาพนั้นยืดเยื้อมา 100 ปี จึงมีกฎหมายห้ามการแยกสีผิวในกิจต่างๆ แต่การเหยียดผิวมิได้หมดไปเมื่อกฎหมายห้าม หากยังฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนผิวขาวกลุ่มใหญ่ รวมทั้งในบรรดาตำรวจซึ่งพร้อมจะใช้ความรุนแรงเกินเหตุกับคนผิวดำ นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าประธานาธิบดีทรัมป์เองมีอคติต่อคนผิวสี

การเริ่มต้นในสังคมใหม่ในฐานะทาสและถูกรังเกียจยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 400 ปี ส่งผลให้ชาวอเมริกันผิวดำเสียเปรียบทุกอย่างทั้งในทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ความเสียเปรียบนี้ก่อให้เกิดความคับแค้นใจคล้ายไฟสุมขอนที่พร้อมจะปะทุออกมาได้เสมอ

นอกจากนั้น สังคมอเมริกันยังมีปัจจัยเลวร้ายอันเกิดจากแนวคิดที่เรียกว่า ความฝันอเมริกัน อีกด้วย ความฝัน ได้แก่ การมีสรรพสิ่งอย่างพรั่งพร้อมเพื่อการบริโภคและใช้สอย จริงอยู่ความฝันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในหลายด้าน แต่มันเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านความคาดหวัง เมื่อการแสวงหาสรรพสิ่งกลายเป็นการเสพเพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด

การเสพแบบนี้เป็นหัวจักรขับเคลื่อนของแนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งสร้างความผิดหวังให้แก่ชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ไปตกอยู่ในครอบครองของคนกลุ่มเล็กๆ ส่งผลให้ความยากจนโดยทั่วไปไม่ลดลง ตรงข้ามความเหลื่อมล้ำยิ่งร้ายแรงขึ้น ชนผิวดำซึ่งมีความเสียเปรียบเป็นฐานอยู่แล้วยิ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลังห่างขึ้น ส่งผลให้พวกเขาคับแค้นใจสูงขึ้นอีก ส่วนคนผิวขาวจำนวนมากที่ผิดหวัง โดยเฉพาะพวกมีการศึกษาต่ำ เลือกนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี เพราะคิดว่าเขาจะสนองความคาดหวังของตนได้

ท่ามกลางความผิดหวังอันกว้างขวางและความคับแค้นใจที่พร้อมจะระเบิดเมื่อไรก็ได้นี้ มีการระบาดของเชื้อโรคร้ายไวรัสโควิด-19 ยังผลให้ชาวอเมริกันตกงานหลาย 10 ล้านคน เนื่องจากนายทรัมป์มักไม่ฟังคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ นโยบายของเขาจึงทำให้ชาวอเมริกันตายเป็นแสน ซึ่งสูงกว่าในทุกประเทศแบบแทบมองได้ว่าอยู่คนละโลก ในจำนวนผู้ตายมีคนผิวดำในอัตราสูงกว่าคนผิวขาวเกิน 2 เท่าตัว นายทรัมป์จึงถูกมองว่าเป็นผู้เพิ่มปัญหาและความคับแค้นใจให้แก่คนผิวดำขึ้นอีกมาก

เหตุการณ์ตำรวจผิวขาวฆ่าชายผิวดำเป็นชนวนจุดเชื้อไฟให้เริ่มปะทุขึ้นในรูปของการประท้วงอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมทั้งโดยคนผิวดำและผิวขาว การประท้วงแบบสันติวิธีในหลายพื้นที่ถูกบิดเบือนด้วยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้าไปแอบแฝงสร้างความรุนแรงพร้อมกับทำลายอาคารร้านค้า ส่งผลให้เกิดจลาจลและการปราบปรามอย่างเข้มข้นจากภาครัฐ

ในสถานการณ์เช่นนี้แทนที่นายทรัมป์จะออกมาแสดงความเป็นผู้นำด้วยความเห็นอกเห็นใจและพยายามประสานทุกฝ่ายให้ร่วมมือกัน กลับใช้วิธีก้าวร้าว ซึ่งเท่ากับการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ นายทรัมป์อาจเป็นผู้นำต่อไปอีกไม่นาน แต่ปัจจัยพื้นฐานของเชื้อไฟในสังคมอเมริกันจะยังคงอยู่