ซูเปอร์โพลเผยคนไทย 63% มองการปรับครม.เอื้อนักการเมืองหาผลประโยชน์

ซูเปอร์โพลเผยคนไทย 63% มองการปรับครม.เอื้อนักการเมืองหาผลประโยชน์

"ซูเปอร์โพล" เปิดผลสำรวจ "ปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อใคร" 63% เชื่อเอานักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์เงินกู้

วันที่ 6 มิ.ย. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อใคร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ

โดยดำเนินการเก็บข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้งการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การลงพื้นที่และการเก็บข้อมูลในโลกโซเชียลทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,871 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1 - 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงผลประเมินคนดีในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 48.5 ระบุมีคนดีอยู่บ้าง ในขณะที่ร้อยละ 37.3 ระบุไม่มีเลย แต่ร้อยละ 14.2 ระบุมีคนดีอยู่มาก

ที่น่าเป็นห่วงคือ ความเห็นต่อรัฐบาลในข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีปรับเพื่อใคร พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.3 มองว่ารัฐบาลจะปรับคณะรัฐมนตรีเอานักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์เงินกู้และถอนทุนคืนใช้เลือกตั้งต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 34.1 มองว่า รัฐบาลจะปรับเอาคนดีเข้ามาทำงานแก้ความเดือดร้อนและปกป้องเงินกู้ผลประโยชน์ประชาชน

159142843232

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.1 ระบุข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี จะก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนต่อความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล แสวงหาผลประโยชน์จากเงินกู้ เข้ากระเป๋านักการเมือง ในขณะที่ร้อยละ 14.9 ระบุ ไม่ใช่

ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.8 ระบุ นายกรัฐมนตรีลอยตัวเหนือปัญหาทำตัวเป็นพระเอกตลอดกาล ในขณะที่ ร้อยละ 33.2 ระบุ นายกรัฐมนตรี ตื่นตัวแก้ปัญหา น้ำผึ้งหยดเดียว ปกป้องรักษาคนดี

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบแนวโน้มจุดยืนการเมืองของประชาชนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 จนถึงล่าสุด หลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก เมื่อเสร็จสิ้นการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน ผ่านสภาผู้แทนราษฎร โดยฐานสนับสนุนรัฐบาลลดฮวบดิ่งลงอีก จากร้อยละ 39.1 ในช่วงอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน เหลือเพียงร้อยละ 20.4 ในช่วงหลังการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินผ่านสภาผู้แทนฯ และ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า น้ำผึ้งหยดเดียว กำลังจะทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังแย่อยู่แล้วยิ่งจะวิกฤตตกต่ำลงไปอีก ทั้งๆ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ก็เคยมีประสบการณ์ความเลวร้ายของบ้านเมืองมากมาย แต่กลับลอยตัวเหนือปัญหาแบบนี้จะสั่งสอนอบรมลูกหลานเด็กและเยาวชนให้รักชาติบ้านเมืองได้อย่างไร

ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหายไปไหนกันหมด ปล่อยให้สถานการณ์เละเทะแบบนี้ต่อไป อารมณ์คับแค้นใจและความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนต่อความชอบธรรมของรัฐบาลจะกลายเป็นชนวนที่ติดเพลิงแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลายได้ง่าย นายกรัฐมนตรีควรรีบแสดงความเป็นผู้นำทำให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องรอดูกระแสจนนาทีสุดท้าย (the last minute) เดี๋ยวจะสายเกินไป