อาจมีแรงทำกำไรสลับหลังปรับขึ้นแรง ยังเน้นเลือกรายตัว

อาจมีแรงทำกำไรสลับหลังปรับขึ้นแรง ยังเน้นเลือกรายตัว

แม้หุ้นไม่ถูก แต่ก็ยังไม่ถึงแพงจนเกินไป

บทวิเคราะห์กลยุทธ์รายวันเมื่อ 21 พ.ค.63 เราประเมิน SET Index มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นทดสอบ 1,400 จุด หากตลาดเลือกมองข้ามปีนี้ไปยังผลประกอบการปี 2564 โดยหากอิง EPS ของหุ้นไทยที่ 85 บาท กรอบการซื้อขายของหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,274-1,444 จุด และมีความเสี่ยงที่อาจปรับตัวขึ้นมากระดับดังกล่าวจาก 1) ผลของสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการออกมาตรการผ่อนคลายของธนาคารกลางสำคัญของโลก 2) ผลของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มทยอยฟื้นตัว 3) ผลของการเกิด Asset re-allocation โดยตราสารหนี้หรือพันธบัตรเริ่มเสียสภาพของสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง ทำให้กลายเป็นการลงทุนที่ “ผลตอบแทนต่ำ แต่เสี่ยงสูง” ส่งผลให้การจัดสรรเม็ดเงินลงทุนใหม่ มีแนวโน้มและน้ำหนักที่จะมายังสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถ้าหากไม่มีวิกฤติของการระบาดซ้ำอย่างหนักเข้ามา ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้หุ้นเคลื่อนไหวดีกว่าคาดหรือเร็วกว่าการฟื้นของกำไร

ตลาดได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ECB และตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐที่ลดลง ธนาคารกลางยุโรปเพิ่มระดับของการเยียวยา โดยประกาศเพิ่มวงเงินของการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาโควิดอีก 6 แสนล้านยูโร (มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มอีก 5 แสนล้านยูโร) ส่งผลให้เมื่อรวมกับงบครั้งแรก 7.5 แสนล้านยูโร ยุโรปจะมีวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึง 1.35 ล้านล้านยูโร ส่งผลดีต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศในยุโรป โดยเฉพาะออิตาลี ทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น และค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนลง ขณะที่ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ ที่ 1.8 ล้านราย แม้สูงกว่าตลาดคาดแต่เป็นตัวเลขที่อยู่ในทิศทางลดลง

รัฐเตรียมผ่อนคลายกิจการเสี่ยงเพิ่มเติม ในกิจการอีก 12 ประเภท ได้แก่ โรงเรียน-คอนเสิร์ต-สถานที่ท่องเที่ยว-สถานบันเทิง-อาบอบนวด ส่งผลบวกต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะทีการออกมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศส่งผลบวกต่อกลุ่มโรงแรมและสายการบิน ซึ่งเรายังมองในเชิงเก็งกำไร ขณะที่กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ Laggard ที่สุดยังเป็นกลุ่มธนาคาร

เลือกเก็งกำไรรายตัว โดยประเด็นที่น่าสนใจได้แก่ 1) กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ดี/ดีกว่าอุตสาหกรรม ได้แก่ IVL, SCC, STA, TIP, VRANDA 2) หุ้นกำไรมั่นคง (defensive) GPSC, BCPG, RATCH, BCH, CHG, SSP, SUPER 3) กลุ่มประกันภัย TIP และ THRE 4) กลุ่มการเงินที่ยังไม่แพง BFIT, AMANAH 5) กลุ่มธนาคาร ชอบ BBL และ KBANK

ภาพรวมกลยุทธ์ โมเมนตัมยังเป็นบวก แต่อาจเห็นการแกว่งจากแรงทำกำไร โดยมีกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1420-1450 จุด ทั้งนี้การเก็งกำไรควรคุมความเสี่ยงด้วยการตั้งขาดทุนทุกครั้ง  // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร  WHAUP*, CPF*, BBL*, TPIPP*

แนวรับ 1,400/ แนวต้าน : 1,420-1450 จุด สัดส่วน : เงินสด 70% : พอร์ตหุ้น 30%

ประเด็นการลงทุน

ECB คงดอกเบี้ยพร้อมอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 6 แสนล้านยูโร ประธาน ECB คาดเศรษฐกิจยูโรโซนปี 2563 หดตัว 8.7% รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่ มองเศรษฐกิจปี 2564-65 ขยายตัว 5.2% และ 3.3% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรตามโครงการฉุกเฉินอีก 6 แสนล้านยูโร

เงินเฟ้อไทยหดต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี - กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค. อยู่ที่ 99.76 ลดลง 3.44% yoy โดยเป็นการหดตัวในรอบ 10 ปี 11 เดือน ขณะที่ ตัวเลขช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) เฉลี่ยอยู่ที่ -1.04% อย่างไรก็ตาม ธปท.ชี้ยังไม่เข้าข่ายเงินฝืดตามนิยามของนโยบายการเงิน

คาดการณ์หุ้นเข้า ออก SET50/100 รอบ 2H20 – เข้า SET50 (+): TTW BPP, ออก(-) :BANPU DELTA // เข้า SET100 (+): WHAUP DOHOME ACE RBF, ออก(-): PSL BGC STPI THAI

ประเด็นติดตาม: 5 มิ.. – ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ, TH Consumer confidence เดือน พ.ค., 9 มิ.. – EU GDP 1Q20, 10 มิ.. – US CPI เดือน พ.ค.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)