EIC หั่นจีดีพีไทย ปีนี้ ลบ 7.3% จากผลกระทบ โควิด-19

 EIC หั่นจีดีพีไทย ปีนี้ ลบ 7.3% จากผลกระทบ โควิด-19

EIC หั่นจีดีพีไทย ติดลบเพิ่ม เป็น7.3% จาก ติดลบ5.6% หลังผลกระทบโควิดมากกว่าคาด คาดจีดีพีค่อยๆฟื้นฟู และกลับมาโตใกล้ปี 62 ต้องใช้เวลาอีก 2 ปี

    นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์(จำกัด) มหาชน กล่าวว่า ล่าสุด EIC ได้ ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2563 หดตัวมากกว่าที่คาดจาก -5.6% เป็น –7.3% จากผลกระทบของ COVID-19 โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน EIC ได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 เหลือเพียง 9.8 ล้านคน (-75.3%YOY) จากเดิมที่คาดไว้ที่ 13.1 ล้านคน     

       ตามนโยบายปิดการเดินทางเข้าออกประเทศของไทยที่ยาวนานขึ้น (ล่าสุดขยายเวลาถึงสิ้นเดือนมิถุนายน) แนวทางการเปิดการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต่าง ที่มีแนวโน้มค่อยเป็นค่อยไป และเศรษฐกิจโลกที่หดตัวมากกว่าคาดซึ่งจะกระทบต่อรายได้ของนักท่องเที่ยว

     ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้ม

หดตัวมากขึ้น ตามแนวโน้มการบริโภคและการส่งออกที่ซบเซา และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับลดลงมาก สำหรับการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มหดตัวสูงที่ -10.4% ใกล้เคียงกับที่คาดไว้จากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศทั่วโลกที่ก่อให้เกิดปัญหา supply chain disruption (ทั้งนี้มูลค่าส่งออกในภาพรวมอาจหดตัวน้อยลงเทียบกับประมาณการ

ครั้งก่อนที่ -12.9% จากการส่งออกทองคำที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก

     อย่างไรก็ดี การส่งออกทองคำไม่มีผลสุทธิต่อ GDP เนื่องจากจะถูกหักในส่วนสินค้าคงคลังด้วย)

    ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนหดตัวรุนแรงโดยเฉพาะในช่วงที่มีมาตรการปิดเมือง สะท้อนจากดัชนีการบริโภค(PCI) ในเดือนเมษายนที่หดตัวไปกว่า -15.1%YOY

     อย่างไรก็ดี ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง เครื่องชี้เร็วสะท้อนว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเดินทางในประเทศเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนวิกฤติพอสมควร

       เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การฟื้นตัวของภาคธุรกิจต่าง จะมีความเร็วที่แตกต่างกัน ในภาพรวม EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในลักษณะ U shape โดย GDP จะกลับไปสู่ระดับของปี2562 ซึ่งเป็นระดับเดิมก่อนเกิด COVID-19 ได้ในปี 2565  เป็นผลจากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและความเปราะบางทางการเงินที่สูงขึ้นของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SME ตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 รวมทั้งผลกระทบที่รุนแรงของ COVID-19 ต่อหลายภาคธุรกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย  

     โดยการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะในส่วนที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นไปอย่างช้า จากความกังวลของนักท่องเที่ยวตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และข้อจำกัดด้านมาตรการควบคุมโรค ซึ่งจะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร นันทนาการ และการขนส่ง ได้รับผลกระทบมากและฟื้นตัวช้า

     ขณะที่ธุรกิจรถยนต์และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ที่อยู่อาศัย) ซึ่งเผชิญกับการหดตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศอยู่แล้ว จะถูกซ้ำเติมจากการลดลงของยอดขายในประเทศด้วยตามการจ้างงานและรายได้ของภาคครัวเรือนที่ลดลงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ฟื้นตัวช้าเช่นกัน

   ในทางตรงกันข้าม การใช้จ่ายในหมวดสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น อาหารเครื่องดื่ม บริการทางการแพทย์ การสื่อสาร ซึ่งจะได้รับแรงสนับสนุนเสริมจากมาตรการโอนเงินช่วยเหลือและมาตรการพักหนี้ของภาครัฐจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า

     

    ด้านนโยบายการเงิน คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ตลอดทั้งปี และพร้อมใช้เครื่องมือต่าง รวมถึงมาตรการ Unconventional เพิ่มเติมหากมีความจำเป็น  ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว

   อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มติดลบ และความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่สูงขึ้น ธปท. จะให้ความสำคัญต่อการลดต้นทุนทางการเงินและการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจต่าง เพื่อประคับประคองฐานะทางการเงินสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ และลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน หากแนวโน้มเศรษฐกิจปรับแย่ลงกว่าคาดมาก ธปท. อาจลดดอกเบี้ยนโยบายได้เพิ่มเติม

     แต่ด้วย policy room ด้านดอกเบี้ยนโยบายที่มีน้อยลง จะทำให้ ธปท. ต้องพึ่งพาเครื่องมืออื่น รวมถึงมาตรการUnconventional มากขึ้น เช่น การซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อช่วยดูแลดอกเบี้ยในตลาดให้อยู่ในระดับต่ำ การต่ออายุหรือปรับเงื่อนไขเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการความช่วยเหลือที่ได้ออกมาก่อนหน้า การลดค่าธรรมเนียมFIDF เพิ่มเติม เป็นต้น  

    ในส่วนของค่าเงินบาท EIC คาดอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2563 จะอยู่ในช่วง 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นทิศทางอ่อนค่า เนื่องจากไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมาก จากดุลบริการที่หายไปตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัวในระดับสูง

  ประกอบกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างช้า ตามภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ จะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า     

     อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่อ่อนค่ามากนัก เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐจะไม่โน้มแข็งมากเหมือนในช่วงต้นไตรมาสที่2 ที่เกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดการเงินโลก เนื่องจากในปัจจุบันหลายประเทศสามารถควบคุมการแพร่ระบาดCOVID ได้ดีและเริ่มทยอยเปิดเมืองทำให้ความกังวลของนักลงทุนต่อความเสี่ยงในตลาดการเงินลดลง

      นอกจากนั้น เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากตลาดการเงินไทยค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การไหลออกของเงินทุนในปริมาณมากในระยะต่อไปมีโอกาสน้อยลง

      สำหรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าที่สำคัญ คือ โอกาสในการกลับมาระบาดอย่างรุนแรงของ COVID-19 ซึ่งอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลกต้องหยุดชะงักอีกครั้ง

    นอกจากนี้ สงครามการค้าโลก ที่อาจรุนแรงขึ้นและกระทบต่อปริมาณการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และยุโรป

    ขณะที่ความเสี่ยงด้านเครดิตที่อาจเพิ่มขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับธุรกิจที่มีภาระหนี้ต่อรายได้สูงขึ้นมาก อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นำไปสู่ความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้

    และสุดท้ายคือความเสี่ยงในประเทศด้านความเปราะบางทางการเงินของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทยที่อาจทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพภาคการเงิน รวมถึงความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวมในระยะต่อไป