'คีรี-หมอปราเสริฐ' นำทัพลุยอู่ตะเภา พัฒนารับผู้โดยสาร 60 ล้านคน

'คีรี-หมอปราเสริฐ' นำทัพลุยอู่ตะเภา พัฒนารับผู้โดยสาร 60 ล้านคน

“บีบีเอส” ตั้งเอสพีวี ทุนจดทะเบียน 4.5 พันล้านบาท ลงนาม สกพอ.19 มิ.ย.นี้ “คีรี-หมอปราเสริฐ” นำทัพลุยอู่ตะเภา เร่งทำมาสเตอร์แพลนเสนอรัฐ แบ่งการก่อสร้าง 4 เฟส พัฒนาอาคารผู้โดยสารรองรับ 60 ล้านคน

กลุ่มการกิจการร่วมค้าบีบีเอส ได้จัดตั้งบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ขั้นมาเพื่อทำหน้าที่นิติบุคลเฉพาะกิจ (เอสพีวี) ในการลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกในวันที่ 19 มิ.ย.นี้

การจัดตั้งเอสพีวีดังกล่าว จดทะเบียนธุรกิจเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ทุนจดทะเบียน 4,500 ล้านบาท โดยบริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จะมีบทบาทหลักเป็น Lead Firm ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 45% ในขณะที่บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 35% และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 10%

เอสพีวีที่จัดตั้งขึ้นใช้ที่ตั้งเดียวกับสำนักงานใหญ่ของบางกอกแอร์เวย์ส บนถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 

รายชื่อกรรมการของเอสพีวีแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มบางกอกแอร์เวย์ส มีนายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายประดิษฐ์ ทีฆกุล และนายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา

2.กลุ่มบีทีเอส มีนายคีรี กาญจนพาสน์ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา และนายคง ชิ เคือง

3.กลุ่มซิโน-ไทย มีนายภาคภูมิ ศรีชำนิ และนางใจแก้ว เตชะพิชญะ

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ระบุว่า สกพอ.จะเป็นคู่สัญญาโครงการนี้กับกลุ่มบีบีเอส จากเดิมที่กองทัพเรือเป็นเจ้าของโครงการ ซึ่งก่อนการลงนามสัญญา สกพอ.จะต้องมีเอกสารยินยอมให้ใช้พื้นที่จากกองทัพเรือ 6,500 ไร่ เพราะ สกพอ.ต้องมีหน้าที่ส่งมอบพื้นที่โครงการที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ ซึ่งการส่งมอบพื้นที่จะไม่มีปัญหาเหมือนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) เพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นของกองทัพเรือ

วางมาสเตอร์แพลน4เฟส

การก่อสร้างของกลุ่มบีบีเอสจะเริ่มต้นได้หลัง สกพอ.ออกหนังสือให้เริ่มเริ่มทำงาน (เอ็นทีพี) โดยระหว่างนี้กลุ่มบีบีเอสจะต้องจัดทำมาสเตอร์แพลนส่งให้ สกพอ. โดยการก่อสร้างได้เสนอเป็น 4 เฟส เพื่อรองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคน ซึ่งเฟสที่ 1 จะรองรับผู้โดยสาร 16 ล้านคน สูงกว่าที่กำหนดในเอกสารการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน (อาร์เอฟพี) กำหนดไว้ 12 ล้านคน รวมถึงการก่อสร้างแท็กซีเวย์ การเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงและการเชื่อมจราจรจากพื้นที่นอกสนามบินอู่ตะเภา และกลุ่มบีบีเอสประเมินมูลค่าการก่อสร้างส่วนนี้ไว้ประมาณ 40,000 ล้านบาท

ส่วนเฟส 2 จะเริ่มก่อสร้างเมื่อจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการอยู่ที่ 85% ของอาคารผู้โดยสารที่ก่อสร้างในเฟส 1 และเมื่อพัฒนาถึงเฟส 2 จะทำให้สนามบินอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคน

เงื่อนไขการเริ่มก่อสร้างขึ้นกับ 2 ส่วน คือ 1.การพิจารณารายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) 2.การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมประสานงานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ให้สอดคล้องเชื่อมโยงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

คณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้จะหารือร่วมกันระหว่าง สกพอ. กลุ่มบีบีเอส และบริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด ที่กลุ่มซีพีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อให้การก่อสร้างของทั้ง 2 โครงการเชื่อมต่อกัน รวมทั้งต้องหาข้อสรุปร่วมกันเรื่องที่ตั้งของสถานีรถไฟความเร็วสูงอู่ตะเภา

สำหรับการจ่ายเงินผลตอบแทนให้รัฐ ซึ่งกลุ่มบีบีเอสเสนอผลตอบแทนที่คำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบัน 305,555 ล้านบาท โดยกลุ่มบีบีเอสจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้แก่รัฐรายปี แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า ระหว่างจำนวนเงินประกันผลตอบแทนค่าเช่าและส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำ โดยเริ่มจ่ายปีที่ 3 นับจากได้รับหนังสือให้เริ่มทำงาน และร่ายจ่ายที่ 100 ล้านบาท จนถึงปีที่ 50 ที่ 84,000 ล้านบาท