ตอบคำถาม 'เศรษฐกิจโลก' ถดถอย กับตกต่ำ

ตอบคำถาม 'เศรษฐกิจโลก' ถดถอย กับตกต่ำ

เคลียร์ชัดประเด็นคำถาม ความแตกต่างระหว่าง "เศรษฐกิจโลกถดถอย" กับ "เศรษฐกิจโลกตกต่ำ" ต่างกันอย่างไร? และผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรบ้าง?

อาทิตย์ที่แล้วที่ผมเขียนเรื่องความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก มีแฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ถามว่าเศรษฐกิจถดถอย คือ Recession กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง หรือ Great Depressionนั้น ต่างกันอย่างไร และมีโอกาสไหมที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเศรษฐกิจโลกขณะนี้จะกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงในอนาคต จากความเสี่ยงต่างๆ ที่ผมพูดถึงในบทความอาทิตย์ที่แล้ว

เป็นคำถามที่ดี แต่ต้องบอกว่าตอบยาก เพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงนั้นเกิดขึ้นครั้งเดียวในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา และความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังเป็นการเรียนรู้กันอยู่

แต่ที่แน่ๆ คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั้นรุนแรงกว่าเศรษฐกิจถดถอยมาก คือ เศรษฐกิจจะไม่ขยายตัวหรือตกต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้น 90 ปีที่แล้ว ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำกินเวลานานเกือบ 4 ปี คือ เกิดระหว่างเดือนส.ค. ปี 1929 ถึง มี.ค.1933 นาน 43 เดือน และหลังจากขยายตัวได้ 1 ปีเศรษฐกิจสหรัฐก็กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีก

นอกเหนือจากการหดตัวของเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันก็คือมีการว่างงานในระดับที่สูงต่อเนื่องตลอดช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ คือ อัตราการว่างงานสูงเกิน 10% ราคาสินค้าปรับลดลงต่อเนื่อง คือ เกิดภาวะเงินฝืดพร้อมกันไปด้วย ธุรกิจต้องปิดตัวลงมากจนกระทบฐานะของธนาคารพาณิชย์ มีธนาคารจำนวนมากต้องปิดกิจการ ทำให้ผู้ฝากเงินกับธนาคารเหล่านี้เสียหาย และจำนวนคนยากจนเพิ่มสูงขึ้น

ที่สำคัญ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและกระทบไปทั่วโลก ผ่านการลดลงของการค้าระหว่างประเทศ และการดึงกลับของเงินลงทุนต่างประเทศ ทำให้หลายประเทศถูกกระทบในลักษณะเดียวกัน ช่วงปี 1930s ที่เกิดปัญหาขึ้น เศรษฐกิจไทยช่วงนั้นก็ถูกกระทบ ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลง กระทบการส่งออกและรายได้ของรัฐบาล ทำให้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาด้วยการลดเงินเดือนข้าราชการและเพิ่มภาษี เพื่อให้มีรายได้พอที่จะใช้จ่าย ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจ

ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง หมายถึงเศรษฐกิจที่ทรุดลงแบบซึมยาวที่ลึกและนาน

ต่อคำถามว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเปลี่ยนไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงได้อย่างไร ในเรื่องนี้ ถ้าเราดูสิ่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐ ช่วงปี 1929 และปีต่อๆ มา จะเห็นว่า ปัญหาเริ่มจากการปรับลดรุนแรงของตลาดหุ้น เมื่อเดือน ต.ค. 1929 ถือเป็นจุดเริ่มต้น หรือตัว Trigger สถานการณ์ที่นำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการว่างงาน แต่หลังจากนั้นมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามากระทบ ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอมากขึ้นจนเกิดเป็นเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง

ซึ่งปัจจัยที่เข้ามากระทบที่สำคัญในช่วงนั้น ที่นักเศรษฐศาสตร์พูดกันมากคือ การดำเนินนโยบายของรัฐที่แทนจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว กลับทำให้เศรษฐกิจยิ่งอ่อนแอจนกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง เช่น การตั้งกำแพงภาษี เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ที่กระทบการส่งออก การประหยัด ลดการใช้จ่าย และขึ้นภาษีของภาครัฐ เพื่อดูแลฐานะการคลังของประเทศ ที่ทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศยิ่งชะลอ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งมีผลต่อความต้องการใช้จ่ายในประเทศ เหล่านี้คือตัวอย่างของนโยบายในช่วงนั้นที่มีผลซ้ำเติมต่อเศรษฐกิจ

กลับมาดูเหตุการณ์ปัจจุบัน การปรับลดของตลาดหุ้นที่เกิดขึ้นหลังการระบาดของไข้หวัดโควิด ยังไม่ลึกมากเมื่อเทียบกับปี 1929 และหลังจากนั้น นโยบายของภาคทางการก็เข้าไปช่วยเหลือเพื่อฟื้นเศรษฐกิจเต็มที่ ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1929 คือมีการลดอัตราดอกเบี้ยและอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด ทำให้ตลาดหุ้นที่ปรับลดลงสามารถประคองตัวได้ ไม่ปรับลดต่อเนื่อง

ด้านการคลัง เกือบทุกประเทศกู้เงินเพื่อนำมาฟื้นเศรษฐกิจ เฉลี่ยประมาณ 8-10% ของรายได้ประชาชาติ และยกเว้นกรณีสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศยังไม่เกิดขึ้น และคงไม่เกิดขึ้นเป็นการทั่วไป ด้วยนโยบายเหล่านี้ เศรษฐกิจโลกน่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายในแง่การฟื้นตัว เทียบกับที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1929 - 30 แสดงว่า ผู้ทำนโยบายได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเหตุการณ์ในอดีต และพยายามหลีกเลี่ยงนโยบายที่อาจซ้ำเติมเศรษฐกิจ

ต่อคำถามว่า นอกเหนือจากนโยบายแล้วจะมีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่ที่ถ้าเกิดขึ้นสามารถมีพลังทำให้ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกขณะนี้จะแย่ลงจนมีความเสี่ยงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงอาจเกิดขึ้น

ในประเด็นนี้ ต้องยอมรับว่าตอบยากมาก แต่ถ้าจะต้องให้คำตอบคิดว่ามี เรื่องที่ควรระมัดระวังและตั้งการ์ดสูงเพื่อลดความเสี่ยง แม้ในบางเรื่องโอกาสเกิดขึ้นจะน้อย แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะโลกขณะนี้เป็นโลกของความไม่แน่นอน

1.วิกฤติการเงิน ซึ่งทุกครั้งจะเกิดจากความเป็นหนี้ที่มีมากเกินไป จนเศรษฐกิจที่ชะลอลงทำให้การชำระหนี้มีปัญหา เกิดการผิดนัดชำระหนี้ในวงกว้างจนกระทบเสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ กลายเป็นวิกฤติการเงิน หนี้ในที่นี้หมายถึง หนี้ภาครัฐ หนี้บริษัทเอกชน และหนี้ครัวเรือน ดังนั้น ประเทศใดมีหนี้สูงในทั้งสามประเภทต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

2.การกลับมาระบาดรอบ 2 รอบ 3 ของไวรัสโควิด ในขนาดที่ทางการจำเป็นต้องแก้ปัญหาการระบาดด้วยการปิดเมืองอีก ทำให้เศรษฐกิจถูกกระทบมาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหยุดชะงักกระทบความสามารถในการหารายได้ และการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ ครัวเรือน และภาครัฐ แต่ผลกระทบลักษณะนี้อาจเป็นผลกระทบของโรคระบาดอื่น ที่ไม่ใช่โควิดก็ได้ หรือ เป็นผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ที่กระทบหลายประเทศพร้อมกัน ที่ทำให้การผลิตในระบบเศรษฐกิจโลกถูกกระทบ

3.สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่บานปลายเป็นสงครามเย็น หรือประทุขึ้นเป็นข้อพิพาธที่รุนแรงเฉพาะจุด เฉพาะพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ด้านความปลอดภัยและความมั่นคงในภูมิศาสตร์ การเมืองโลกตึงเครียด สร้างความไม่แน่นอน กระทบกิจกรรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก