‘เอพี’ รื้อแผนคุมรายจ่ายสู้โควิด

‘เอพี’ รื้อแผนคุมรายจ่ายสู้โควิด

‘เอพี’ พลิกเกมฝ่าวิกฤติโควิด รื้อแผนคุมรายจ่ายโครงการแนวราบไม่กู้แบงก์ ออกแคมเปญราคาดึงลูกค้าเข้าถึงง่าย พร้อมชู ‘ดีไซน์’พัฒนาสินค้ารับนิวนอร์มอล

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อหลายภาคธุรกิจรวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการเติบโตของภาคอสังหาฯผันตามภาพรวมเศรษฐกิจ รวมไปถึงผลกระทบต่อความรู้สึก (Sentiment) ของลูกค้าในการเยี่ยมชมโครงการหรือการตัดสินใจซื้อที่ชะลอลงในบางเซกเมนต์ แม้วันนี้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายไปบ้างแต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะจบเมื่อไหร่

บริษัทจึงได้วางยุทธศาสตร์การทำงานระยะยาวเพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างแข็งแรง ผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. ด้านการเงินจะควบคุมรายจ่ายและการบริหารจัดการการรับรู้รายได้ ซึ่งเอพีมีสินค้าครอบคลุมในทุกประเภท โดยโครงการแนวราบทั้งหมดของเอพี ‘ไม่มี’กู้ธนาคาร ดังนั้นเมื่อเกิดการโอนกรรมสิทธิ์ จะมีเงินสดไหลกลับเข้าบริษัท 100% รวมถึงการบริหารสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของเอพีอยู่ในระดับที่เหมาะสมคือ1:1 เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯ มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง

2.ด้านพนักงานจะสร้างกำลังใจในการทำงานให้กับทีมงานทุกคน โดยซีอีโอ (อนุพงษ์ อัศวโภคิน ) ย้ำว่า ในภาวะวิกฤตครั้งนี้เอพีจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าวิกฤตครั้งใด เอพีไม่เคยมีนโยบายปลดคน เพราะเชื่อว่าคนคือกำลังสำคัญขององค์กร และเชื่อว่าบริษัทจะ‘รอด’พนักงานทุกคนจะต้องก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน และ 3. ด้านลูกค้า บริษัทจะทำแคมเปญโปรโมชั่นและช่วยเหลือลูกค้าทุกๆ ด้านให้สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่คุ้มค่า

ขณะเดียวกัน ทำความเข้าใจกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปและการค้นหาพฤติกรรมใหม่ ( New Normal)ที่จะเกิดขึ้นโดยผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) หลังจากที่โควิด-19 เข้ามาดิสรัปธุรกิจทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำงาน การซื้อ การขาย การอยู่อาศัย ทุกสิ่งเปลี่ยนใหม่หมด

นายวิทการ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกในแง่ของซัพพลายใหม่‘ชะลอ’การเปิดตัว เฉพาะไตรมาส 1ปีนี้ยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ลดไปกว่า 36% ถัดมาคืออัตราดอกเบี้ยต่ำ จะต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และการกู้ซื้อบ้านส่วนปัจจัยลบคือความรู้สึก (Sentiment) ของลูกค้าในการเดินทางเยี่ยมชมโครงการและการตัดสินใจซื้อลดลง และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว กระทบความสามารถในการซื้อของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการใหม่เป็นโครงการแนวราบทั้งสิ้น 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,025 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าทาวน์โฮม 3 โครงการ มูลค่า 2,820 ล้านบาท และสินค้าบ้านเดี่ยว 4 โครงการ มูลค่า 5,205 ล้านบาท ล่าสุดสามารถสร้างยอดขายสุทธิ(Net Presales)มีมูลค่า 8,330 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายสุทธิจากสินค้าคอนโด 1,430 ล้านบาท และได้รับการตอบรับที่ดีจากยอดขายสุทธิสินค้าแนวราบที่ 6,900 ล้านบาท หรือเฉลี่ยยอดขายแนวราบ ต่อสัปดาห์ไม่ต่ำกว่า 380 ล้านบาท