จับตาแผนรับมือศก.สหรัฐรับมือโควิด-19ระบาดรอบ2

จับตาแผนรับมือศก.สหรัฐรับมือโควิด-19ระบาดรอบ2

จับตาแผนรับมือศก.สหรัฐรับมือโควิด-19ระบาดรอบ2 ขณะ"เจอโรม พาวเวล" ประธานเฟด เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (29 พ.ค.) ว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในสหรัฐ อาจจะสกัดกั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาดดังกล่าว

เมื่อวันศุกร์ (29พ.ค.)มหานครใหญ่อย่างนิวยอร์ก ประกาศเปิดเศรษฐกิจเฟสแรกวันที่ 8 มิ.ย.นี้ หลังจากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แตะระดับสูงสุดไปแล้ว แต่ประธานธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด)กลับมีถ้อยแถลงที่ชวนให้ตั้งคำถามในใจว่าสหรัฐพร้อมแล้วหรือที่จะเปิดเศรษฐกิจและคลายมาตรการล็อกดาวน์

"เจอโรม พาวเวล" ประธานเฟด เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (29 พ.ค.) ว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในสหรัฐ อาจจะสกัดกั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาดดังกล่าว แม้เขาได้ระบุย้ำว่า เฟดยืนยันที่จะยังคงเดินหน้าต่อสู้กับวิกฤตดังกล่าวต่อไปก็ตาม

ที่ผ่านมา เฟด ได้ดำเนินมาตรการทุกทางที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดการเงินนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย และจัดหาสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือบริษัทและรัฐบาลท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก รายงานว่า สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ 1,793,530 ราย และมีผู้เสียชีวิต 104,542 ราย ขณะที่เจ้าหน้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจำนวนมากวิตกว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาจจะพุ่งขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์และหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่รัฐต่างๆ กลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง

พาวเวลกล่าวในเว็บคาสต์ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันว่า “ผมคิดว่า การระบาดรอบสองของโรคโควิด-19 จะทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน และอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า และอ่อนแอ เราจะยังคงดำเนินมาตรการรับมือต่อไปอย่างแน่นอน เราจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ แต่ที่ผมวิตกมากกว่าก็คือ การระบาดรอบสองของโรคโควิด-19 จะทำลายความเชื่อมั่น”

ความเห็นของพาวเวลย้ำเตือนว่า เฟดกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่เฟดไม่สามารถควบคุมได้ แต่พาวเวล ก็ย้ำหลายครั้งว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัว และอัตราการจ้างงานกลับสู่ระดับที่แข็งแกร่ง โดยเฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งต่อไปในวันที่ 9-10 มิ.ย.นี้

นอกจากนี้ ประธานเฟด ยังกล่าวด้วยว่า เฟดใกล้ที่จะดำเนินการปล่อยเงินกู้ให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในประเทศแล้ว

“อีกเพียงไม่กี่วัน เราจะปล่อยเงินกู้เป็นครั้งแรกแก่ภาคธุรกิจ โดยจะมีอยู่ 3 โครงการสำหรับธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป” นายพาวเวลกล่าวในการเสวนาผ่านระบบออนไลน์เกี่ยวกับมาตรการของเฟดในการเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา เฟดอัดฉีดเม็ดเงินเข้าตลาดผ่านทางการซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น รวมทั้งซื้อหุ้นกู้ของภาคเอกชน ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเฟดกำลังช่วยตลาดวอลล์สตรีทมากกว่าที่จะช่วยตลาดเมนสตรีท ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการดำเนินงานอยู่แล้วและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เฟดดำเนินการปล่อยกู้โดยตรงแก่ภาคธุรกิจในครั้งนี้

พาวเวล กล่าวว่า เฟดได้รับเสียงตอบรับจากสาธารณชนจำนวนมากที่ต้องการให้มีการปรับปรุงเงื่อนไขในการปล่อยกู้ของเฟด ส่งผลให้เฟดมีการปรับรายละเอียดตามความต้องการของภาคธุรกิจ โดยโครงการดังกล่าวจะเสนอเงินกู้อายุ 4 ปีให้แก่บริษัทที่มีพนักงานไม่เกิน 15,000 คน และมีรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านดอลลาร์/ปี โดยวงเงินกู้เริ่มตั้งแต่ 500,000 ดอลลาร์ไปจนถึง 100 ล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในช่วงฤดูร้อนนี้คือเดือนมิ.ย.-ส.ค. ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มถดถอยลงอย่างรุนแรงซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

วอชิงตัน โพสต์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวของทำเนียบขาวเป็นผลมาจากการที่ โรคโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง และทำให้ยากที่จะคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ

วอชิงตัน โพสต์ระบุว่า ตามปกติแล้ว ทำเนียบขาวจะเปิดเผยข้อเสนอด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางทุกๆ เดือนก.พ. และหลังจากนั้นจะทำการทบทวนในเดือนก.ค.หรือส.ค.เกี่ยวกับการคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ อาทิ การว่างงาน, เงินเฟ้อ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

“เมื่อพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานั้น ข้อมูลเศรษฐกิจอาจจะผันผวนอย่างมาก และจะสามารถคาดการณ์ได้น้อยลง” เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งกล่าว พร้อมระบุเสริมว่า เป็นเรื่องโง่เขลาที่จะเปิดเผยข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

อย่างไรก็ตาม เดอะ ฮิลล์ เว็บไซต์ด้านการเมืองของสหรัฐเปิดเผยว่า อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของทำเนียบขาวและรัฐบาลกลางสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์ความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยระบุว่า ทีมเศรษฐกิจของทำเนียบขาวไม่ต้องการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจบั่นทอนโอกาสในการชนะการเลือกตั้งสมัยสองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

นายเอรอน โซจูร์เนอร์ อดีตนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวระบุว่า “ทำเนียบขาวกระทำเรื่องที่น่าอับอาย ผมไม่แน่ใจว่า พวกเขาไม่เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ยอมจัดทำตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าว หรือเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกระหว่างการยอมรับผลทางการเมืองจากการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจ และสิ่งที่จะไม่ทำลายความน่าถือใดๆ”

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 5.0% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาสแรกแต่บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ได้บ่งชี้ถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 อย่างเต็มที่

เจย์ เอช ไบรสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเวลส์ ฟาร์โก ซีเคียวริตีส์ระบุในบทวิเคราะห์ว่า “รายงงานนี้ เป็นเพียงการชิมลางของสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 ซึ่งเราคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะดิ่งลงในอัตรา 25% เมื่อเทียบรายปี”