เฟส 3 คลายล็อกธุรกิจบันเทิง อนุญาตโรงหนัง-มหรสพ ส่วนกีฬา-ค่ายมวย ซ้อมได้

เฟส 3 คลายล็อกธุรกิจบันเทิง อนุญาตโรงหนัง-มหรสพ ส่วนกีฬา-ค่ายมวย ซ้อมได้

ศบค.ผ่อนปรนคลายล็อก “เฟส 3” กิจกรรม 2 กลุ่ม “ด้านเศรษฐกิจ-การดำเนินชีวิต” ไฟเขียวอีเวนท์ ธุรกิจบันเทิง “โรงหนัง-มหรสพ” จำกัดคนดู ไฟเขียว “ร้านนวด-พระเครื่อง” ส่วนค่ายมวย-ฟิตเนส-ซ้อมกีฬา ห้ามแข่งขันให้คนดู 

พร้อมหดเคอร์ฟิว 5 ทุ่มถึงตี 3 เดินทางข้ามจังหวัดได้ ขณะที่ยอดติดโควิดเพิ่ม “11 ราย” เป็นวันที่สอง กลุ่มกลับจากต่างประเทศ

ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.แถลงมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 3 วานนี้ (29 พ.ค.) โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มิ.ย.63 เป็นต้นไป โดย พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคง (สมช.) ระบุว่า ศบค.ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการผ่อนปรน ระยะที่ 3 โดยได้ข้อสรุปดังนี้

ประเด็นแรกคือ การผ่อนผันการใช้อาคารโรงเรียน สถานศึกษา เพื่อใช้สอบคัดเลือกและอบรมระยะสั้น แต่ยังไม่ได้เปิดให้มีการเรียนการสอน รวมถึงให้เปิดโรงเรียนนอกระบบเฉพาะเอกชน เฉพาะวิชาชีพ ศิลปะ และการกีฬา

ประเด็นต่อมา มีมติให้ผ่อนปรนกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิต ได้แก่ 1.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดดำเนินการจนถึงเวลา 21.00 น. 2.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ จำกัดพื้นที่รวมไม่เกิน 20,000 ตารางเมตร และให้ปิดไม่เกินเวลา 21.00 น.

3.สนามพระเครื่อง ศูนย์พระเครื่อง เปิดบริการได้แต่ต้องห้ามให้มีคนมาชุมนุมหนาแน่น และไร้ระเบียบ 4.ร้านเสริมสวย แต่งผม หรือตัดผม สำหรับบุรุษหรือสตรี ให้บริการเพิ่มเติมได้ คือการทำสีผม รายละไม่เกิน 2 ชั่วโมง และห้ามมีผู้นั่งรอในร้าน 5.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเรียน เปิดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ประกอบอาหาร เพื่อแจกจ่ายอาหารกลางวันและเครื่องดื่ม ให้ผู้ปกครองนำกลับไปให้เด็ก

คลายล็อกซ้อมกีฬา-สันทนาการ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติผ่อนปรน กิจกรรมด้านการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ หรือสันทนาการ ได้แก่ 1.คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม สถานที่สัก เจาะผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย สามารถทำได้ทั้งตัว จากเดิมที่อนุญาตให้ทำตั้งแต่คอลงไป แต่ในระยะที่ 3 จะเปิดให้ทำใบหน้าได้ แต่ยังมีความกังวลการสัมผัสใบหน้าที่อาจจะแพร่เชื้อได้ จึงแนะนำผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยระหว่างรับบริการ ขณะที่การสักคิ้ว ยังพอทำได้ แต่อย่าเพิ่งไปทำศัลยกรรมจมูก

2.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สปา และสถานประกอบการนวดแผนไทย สามารถเปิดได้ แต่งดการอบตัว อบสมุนไพร อบไอน้ำแบบรวม นวดใบหน้า ยกเว้นกิจการอาบน้ำกิจการ อาบ อบ นวด

3.สถานที่ออกกำลังกายฟิตเนส ให้เปิดได้ทั้งในและนอกห้างสรรพสินค้า สามารถทำกิจกรรมได้ทั้งหมด แต่มีข้อจำกัดระยะเวลาใช้บริการ และจำนวนผู้ใช้บริการ

4.สนามกีฬา เพื่อออกกำลังกาย หรือฝึกซ้อม ได้แก่ ฟุตบอล ฟุตซอล บาสเก็ตบอล และวอลเลย์บอล โดยไม่มีการแข่งขัน รวมกิจกรรมไม่เกิน 10 คน ไม่นับผู้เล่น รวมถึงมวย อนุญาตให้เปิดค่ายฝึกซ้อมกับอุปกรณ์ โดยไม่มีคู่ซ้อม

5.สถานที่เล่นโบว์ลิ่ง สเก็ต หรือโรลเลอร์เบลด หรือการละเล่นอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เปิดเฉพาะการออกกำลังกาย หรือการฝึกซ้อม 6.ให้เปิดสถาบันลีลาศหรือ สอนลีลาศ 7.สระน้ำ เพื่อการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมทางน้ำในบึง เช่น เจ็ตสกี ไคท์เซิร์ฟ เครื่องเล่นประเภทบาบาน่าโบ้ท ต้องไม่เป็นการแข่งขัน และต้องจำกัดจำนวนผู้เล่น และมีมาตรการการทำความสะอาด ซึ่งยังไม่รวมถึงกิจกรรมตามชายทะเล

8.โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงมหรสพ ซึ่งการฉายภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ต้องมีผู้เข้าร่วมไม่เกิน 200 คน ส่วนโรงมหรสพ เปิดได้เฉพาะลิเก ลำตัด การแสดงพื้นบ้าน งดการแสดงดนตรี คอนเสิร์ต และ 9.สวนสัตว์ หรือสถานที่จัดแสดงสัตว์ จำกัดผู้ร่วมกิจกรรมที่เป็นการรวมกลุ่ม 

ยังไม่อนุญาตต่างชาติเข้าประเทศ

พล.อ.สมศักดิ์ ระบุด้วยว่า เราทราบดีว่ากิจกรรมเหล่านี้มีความเสี่ยงแพร่เชื้อค่อนข้างสูง มาตรการที่ต้องทำควบคู่ไปก็คือ ต้องสวมหน้ากากอนามัย การวัดไข้ เว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนคน เป็นต้น

ส่วนมาตรการบังคับด้านกฎหมาย ยังควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก เรือ และอากาศ ทุกช่องทางยังเข้มข้นเหมือนเดิม แต่คนที่เดินทางเข้ามาอาจมีเชื้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล 

ขณะที่มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานนั้น จะมีการผ่อนคลายตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป โดยปรับลดเวลาเป็น 23.00-03.00 น. เพื่อผ่อนปรนให้ 1 ชั่วโมง เพราะเราทราบดีว่าเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงกิจกรรมบางอย่างให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ 

อนุญาตเดินทางข้ามจังหวัด1มิ.ย.

สำหรับการเดินทางห้ามจังหวัดนั้น อนุญาตให้เดินทางข้ามได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป แต่ไม่ถือว่าเสรีมาก เพราะเห็นว่าบ้านยังเป็นที่ปลอดภัยที่สุด แต่การเดินทางมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของทางราชการ เจ้าหน้าที่สามารถสอบถามถึงเหตุผล ความจำเป็นในการเดินทางและระยะเวลาที่จะใช้

ทั้งนี้ กรณีที่ประชาชนเริ่มมีการจองที่พักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถือว่ามีความเหมาะสมแค่ไหน ในช่วงเวลานี้นั้น ก็ต้องไปดูว่าไปเที่ยวที่ไหน ถ้าไปชายทะเลยังไม่เปิด แต่ถ้าเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมเปิดให้บริการแล้ว

ยังไม่เลิกเคอร์ฟิวเหตุมั่วสุมดื่มสูง

“เหตุผลที่ยังไม่ยกเลิกเคอร์ฟิว เพราะมีเรื่องสำคัญตอนนี้เรายังห้ามดื่มสุราในร้านอาหาร แต่ให้ซื้อกลับไปกินที่บ้าน เนื่องจากมีคนบางกลุ่มใช้ช่วงเวลานี้มั่วสุมทำไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของโรค จึงต้องมีเคอร์ฟิวกำกับ อาจจะไม่สะดวกแต่จำเป็นในช่วงเวลานี้ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าเราพยายามลดลงไปเรื่อยๆ” พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว

ติดเชื้อ11รายกลุ่มกลับจากตปท.

ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงถึงจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ วันที่ 29 พ.ค.มีจำนวน 11 ราย ทั้งหมดเดินทางกลับจากประเทศคูเวต และเข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ ส่วนภาพรวมประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 3,076 ราย รักษาหายแล้ว 2,945 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 74 ราย และเสียชีวิตสะสม 57 ราย

สำหรับในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยรายใหม่ 51 ราย เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศและเข้าพักในสถานที่ที่รัฐจัดให้ 42 ราย ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 6 ราย และผู้ป่วยที่ไปในสถานที่ชุมนุมชน 3 ราย

เปิดเทอมยึดกำหนดเดิม 1 ก.ค.

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม ศบค.มีการพิจารณา วาระที่มีการเสนอให้มีการเปิดเรียน ซึ่งเดิมเป็นวันที่ 1 ก.ค.63 โดยยังให้คง วันดังกล่าวไว้เช่นเดิม แต่มีการหารือในประเด็นที่จะเลื่อนให้เร็วขึ้นได้หรือไม่ ในบางส่วน

ทั้งนี้ หลักการกว้างๆ ที่ ผอ.ศบค.ให้ไว้ อาทิ 1.ขนาดโรงเรียน สถานที่ตั้งของโรงเรียนอยู่ห่างไกล ไม่ได้มีอัตราการติดเชื้อสูง อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้นักเรียนได้รับการเรียน 2. หากเป็นพื้นที่ในเมืองต้องเดินทาง จราจร สลับ เหลื่อมเวลาเรียน 3 วันต่อสัปดาห์ ถ้าสามารถทำได้ จะทำให้ไม่แออัดกันมากขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนด้วย โดยเน้นเฉพาะกลุ่มเด็กโต เนื่องจากเด็กเล็กหากมาเรียน อาจจะมีความเสี่ยงเพราะอยู่ใกล้ชิดกัน นอนกลางวัน และเล่นกัน จึงยังไม่ได้หารือร่วมกัน

ส่วนโรงเรียนนานาชาติที่มีข้อร้องมาว่า การเรียนที่จะต้องมีการเปิดเทอมขึ้นเร็ว เพราะให้ทันของกระแสโลก และการเรียนที่เป็นมาตรฐานของต่างประเทศนั้น ยังไม่มีข้อสรุป โดยมอบให้ รมว. ศึกษาธิการ ไปศึกษารายละเอียด และหาข้อสรุปของแต่ละเรื่อง มานำเสนอที่ประชุม ศบค.ครั้งต่อไป.