STARK ดิ่งลงแรง หลังผู้ถือหุ้นใหญ่โยนบิ๊กล็อต

STARK ดิ่งลงแรง หลังผู้ถือหุ้นใหญ่โยนบิ๊กล็อต

"สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น" ราคาหุ้นเช้านี้ร่วงแรงกว่า 11.40% หลังประธานบริษัทแจ้งผู้ถือหุ้นใหญ่ทำรายการบิ๊กล็อตให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุน High Net Worth จำนวน 402.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.69% ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.85 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงเช้าวันนี้พบความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ปรับตัวร่วงแรงกว่า 11.40% โดยมาอยู่ที่ระดับ 2.02 บาท ลดลง 0.26 บาท มูลค่าการซื้อขาย 332 ล้านบาท

นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK  เปิดเผยว่า วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ทำรายการซื้อขายรายใหญ่ ( BIC LOT ) หรือบิ๊กล็อต ให้แก่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุน High Net Worth จำนวน 402.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.69 % ของหุ้นชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.85 บาท ซึ่งราคาดังกล่าว เป็นราคาที่อ้างอิงกับราคาขายแก่นัลงทุนสถาบัน ซึ่งโดยมากจะต้องมีส่วนลด ( Discount ) บางส่วน เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายที่มาก

ทั้งนี้การทำบิ๊กล็อตครั้งนี้เป็นการเพิ่มสภาพคล่องหรือการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อย ( Free Float ) เพิ่มเป็น 11.40% ซึ่งตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ต้องมีฟรีโฟลท์ 15 % ขณะนี้มีโบรกเกอร์ต่างชาติ 2-3 ราย ให้ความสนใจติดต่อขอลงทุนหุ้น STARK อย่างไรก็ตาม ภายหลังการทำบิ๊กล็อต นาย วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และกลุ่มบริษัท สตาร์ค อินเวสเมนท์ คอร์เปอเรชั่น ยังถือหุ้นรวมกัน 88.6% โดยมั่นใจว่าการทำบิ๊กล็อต จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น STARK บนกระดาน

 “การทำบิ๊กล็อตครั้งนี้ เป็นการขายเพื่อสนองตอบความต้องการของนักลงทุนบางส่วนเท่านั้น เป็นการเชื้อเชิญนักลงทุนกลุ่ม High Net Worth และสถาบัน เข้าซื้อเพิ่มเติมในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาดนัก และยังทำให้ฟรีโฟลท์ของหุ้นสตาร์ค จากเดิมไม่ถึง 10 % เพิ่มขึ้นเป็น 11.40 % โดยคุณวนรัชต์ และกลุ่ม สตาร์ค อินเวสเมนท์ ยังถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 88.6 % ซึ่งการเพิ่มฟรีโฟลท์ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ SET50 และ SET 100 รวมทั้งการเข้าคำนวณดัชนี MSCI ด้วย “

นาย ชนินทร์ กล่าวต่อว่ามั่นใจว่าผลประกอบการ ของบริษัทปี 2563 นี้จะเติบโตที่สูงมากเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากในไตรมาส 2 /2563 จะเริ่มรับรู้ผลประกอบการบริษัทสายไฟในเวียดนาม และบริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล ( TCI ) รวมถึงงานในมือของบริษัทย่อย อดิสร มูลค่า 4,300 ล้านบาท นอกจากนั้นสตาร์คยังพร้อมขยายการเติบโตจากธุรกิจหลักสายไฟ , ธุรกิจการลงทุน และการเติบโตจากการซื้อกิจการเพิ่มเติมในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโรงงานผลิตสายไฟในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นช่วงที่ดีในการเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และ ช่องทางการจำหน่ายที่มากขึ้น เนื่องจากมีคู่แข่งในการซื้อไม่มาก รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีต้นทุนการเข้าซื้อที่ต่ำ และความสามารถทำกำไรมาก