สถานการณ์ผ่อนคลาย วิกฤติโควิดยังไม่จบ

สถานการณ์ผ่อนคลาย วิกฤติโควิดยังไม่จบ

สถานการณ์การระบาดค่อนข้างดี ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทั้งพิจารณาลดเวลาเคอร์ฟิว และผ่อนคลายในระยะที่ 3 ท่ามกลางความรู้สึกผ่อนคลายของหลายส่วน สิ่งสำคัญหลังจากนี้ คือ รักษาระดับการควบคุมการระบาดไว้ให้ได้จนกว่าจะมีวัคซีนจึงจะสบายใจได้

การระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยข้อมูล ณ วันที่ 28 พ.ค.2563 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 11 ราย ซึ่งผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเขาพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นทำให้มียอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 3,065 ราย และไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 57 ราย รักษาหายเพิ่ม 14 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 2,945 ราย และยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 63 ราย

สถานการณ์การระบาดที่ควบคุมได้ค่อนข้างดีในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการพิจารณาลดเวลาเคอร์ฟิวลงอีก 1 ชั่วโมง รวมถึงการอนุญาตให้กิจกรรมบางประเภทได้รับการผ่อนคลายในระยะที่ 3 เพื่อเป็นการเปิดให้ประชาชนสามารถทำกิจกรรมเพิ่มเติม ในกิจการที่ได้รับการผ่อนคลายไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยมีหลายกิจกรรมที่อาจจะได้รับการผ่อนปรน เช่น โรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้า การเปิดกิจการนวดแผนโบราณ การให้ประชาชนเดินทางไปต่างจังหวัดได้

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกของปี 2563 ติดลบ 1.8% เป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 32 ไตรมาส หรือ 8 ปี หรือตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ตัวเลขที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศออกมาติดลบน้อยกว่าที่หลายฝ่ายประเมิน แต่เศรษฐกิจไตรมาส 1 ได้รับผลกระทบในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.ที่ผ่านมา ในขณะที่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 2 เดือน อาจจะเป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบมากที่สุด

ท่ามกลางความรู้สึกผ่อนคลายของหลายส่วนทั้งกลุ่มประชาชนที่ออกมาใช้ชีวิตในแบบที่เคยเป็นเพิ่มมากขึ้น เช่น การออกไปห้างสรรพสินค้า รวมถึงการที่บริษัทลดการทำงานที่บ้านลง ถึงแม้ว่าหอการค้าไทยจะขอความร่วมมือกับสมาชิกให้คงมาตรการทำงานที่บ้าน แต่ก็เป็นดุลพินิจของแต่ละบริษัท ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเห็นกิจกรรมทางการเศรษฐกิจหลายส่วนเริ่มกลับมาปกติ การจราจรบนถนนในกรุงเทพฯ กลับมาติดขัดเหมือนที่เคยเป็น

สิ่งสำคัญหลังจากนี้ คือ รักษาระดับการควบคุมการระบาดไว้ให้ได้จนกว่าจะมีวัคซีนจึงจะสบายใจได้ และที่สำคัญอีกส่วน คือ การก้าวต่อไปบนภูมิคุ้มกัน ซึ่งแม้เราจะยังไม่มีวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันที่จะรักษาหรือป้องกันการระบาดได้ แต่ประสบการณ์และความร่วมมือที่ดีของคนไทยทุกคนในช่วง 4 เดือน ที่ผ่านมาถือเป็นภูมิคุ้มกันของสังคมที่ดี จนทำให้ต่างประเทศยอมรับในความสามารถของคนไทย ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้คนไทยร่วมมือกันควบคุมสถานการณ์การระบาดในระดับที่ดีต่อไป