'อนุทิน' แจงสภา แบ่งงบ 'เงินกู้' เพื่อพัฒนาวัคซีน
"อนุทิน" ชี้แจงต่อสภาฯ แบ่งงบ "เงินกู้" เพื่อพัฒนาวัคซีน ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แก้โควิดรอบสุดท้ายแล้ว-มั่นใจมาตรการ สธ. การ์ดไม่ตก
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 63 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท โดยยืนยันถึงการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขต่อการป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาว่าอยู่สูงกว่ามาตรฐานขององค์กรอนามัยโลก แต่ก่อนหน้านี้แม้จะมีมาตรการป้องกันที่หลุดบ้าง เช่น สนามมวย แต่สามารถติดตามผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษา และขยายผลด้านการป้องกันได้
ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงรับเชื้อในประเทศมากขึ้นเพราะยอมให้กลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าพื้นที่ ยอมรับว่าเป็นเพียงช่วงแรก แต่หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์สามารถควบคุมได้ และลดการนำเชื้อเข้าสู่ประเทศ อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าที่มีผู้ติดเชื้อมาจากต่างประเทศนั้น เพราะเป็นคนไทยยที่เดินทางเข้าประเทศและเป็นผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ ทางกระทรวงมีมาตรการตรวจรักษา กักกันตัว ทำให้การควบคุมปัจจุบันมีประสิทธิภาพ
“ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นรอบที่ 2 นั้น ยอมรับว่าเกิดขึ้นได้ แต่กระทรวงไม่ได้ประมาท พร้อมดูแล ขณะเดียวกันพวกเราทุกคนเป็นหนี้ของกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข ดังนั้น ถึงเวลาตอบแทน โดยผมขอความสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร ในข้อเสนอเพื่อจ่ายค่าตอบแทนให้กับกลุ่มคนดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ผมขอให้มั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุขการ์ดไม่ตก และขอให้ประชาชนตั้งการ์ดสูงไว้ตลอดเวลาร่วมกัน เพราะศัตรูของเราคือ ไวรัสโควิด-19” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน ชี้แจงด้วยว่า สำหรับการใช้เงินกู้ ส่วนของงานด้านสาธารณสุข วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท นั้น จะจัดสรรงบส่วนหนึ่งให้กับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อค้นหา ทดลองวัคซีนให้ได้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแชมป์สาธารณสุข และเป็นผู้นำสาธารณสุขอย่างแท้จริง ซึ่งการใช้เงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน นั้น ตนย้ำว่าเงินทุกบาท ห้ามใช้ในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์หรือใช้แล้วทิ้ง แต่ต้องนำไปพัฒนานวัตกรรม องค์ความรู้ เครื่องมือแพทย์ โดยประเทศไทยไม่มีวันที่แพทย์จะตัดสินใจว่า คนนี้จะอยู่หรืออยู่ไม่ได้ ดังนั้นต้องทำให้มีควาพมร้อม ทั้งเครื่องมือ เวชภัณฑ์ เทคโนโลยี และความเก่งของแพทย์ พยายาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อให้ประเทศไทยน็อคเอาท์ไวรัสโควิด-19 ให้ได้
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า สำหรับการบังคับใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เตรียมประกาศใช้ในเดือนที่ 3 นั้น เพื่อให้เหมาะสมกับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 3 ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใช้ขณะนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เคยมีมติให้ใช้แค่ 3 เดือน แต่ต้องต่อทุกเดือน ดังนั้นรอบนี้ถือว่าครบแล้ว และประเทศไทยพร้อมเดินออกจากมาตรการดังกล่าว แต่การบริการ การดูแล และรักษาป้องกันไม่ให้ไวรัสโควิด-19 กลับมานั้น ตนมั่นใจว่าสิ่งที่สูญเสียวันนี้ จะได้รับกลับคืนมาได้ และคืนมาได้อย่างมากด้วย