ภูมิคุ้มกันหมู่สวีเดน ‘ฝันไม่เป็นจริง’

ภูมิคุ้มกันหมู่สวีเดน ‘ฝันไม่เป็นจริง’

หลังจาก “สวีเดน” ใช้วิธีการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา2019 "โควิด-19" แตกต่างจากประเทศอื่นด้วยการ "สร้างภูมิคุ้มกันหมู่" จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก โดยเฉพาะจนบัดนี้กลับไม่ได้ผลอย่างที่หวัง จึงเกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนยุทธศาสตร์ได้

สวีเดนตัดสินใจไม่ใช่มาตรการล็อกดาวน์อันเข้มงวดเหมือนประเทศอื่นๆ ในกลุ่มนอร์ดิก แม้รัฐบาลบังคับใช้ระเบียบการรักษาระยะห่างทางสังคม แต่บาร์ ร้านอาหาร โรงเรียน และร้านค้าปลีกส่วนใหญ่ยังเปิดให้บริการ แนวทางของสวีเดนอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในการชะลอการแพร่ระบาด ไม่ให้ระบบสาธารณสุขรับคนไข้จนล้น หน่วยงานสาธารณสุขยังหวังด้วยว่า การเปิดดำเนินการตามปกติเท่ากับว่า คนหนุ่มสาวที่ไม่ใช่ประชากรกลุ่มเสี่ยงจะพัฒนาภูมิคุ้มกันต้านไวรัสได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

แอนเดอร์ส เทกเนลล์ หัวหน้านักระบาดวิทยาจากสำนักงานสาธารณสุขสวีเดน เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี เมื่อปลายเดือน เม.ย.ว่า ตัวอย่างและตัวแบบข้อมูล ชี้ว่า ประชากรกรุงสต็อกโฮล์มราว 20% มีภูมิคุ้มกันไวรัสแล้ว

"ภูมิคุ้มกันหมู่" เกิดขึ้นเมื่อประชากรที่มีภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อมีจำนวนมากพอจากจำนวนประชากรทั้งหมด อาจได้จากการติดเชื้อและหายแล้ว หรือจากการฉีดวัคซีนก็ได้ นักวิจัยบางคนตั้งเกณฑ์ภูมิคุ้มกันหมู่สำหรับไวรัสโคโรนาไว้ที่ 60% แต่น่าเสียดายที่ถึงเดือน พ.ค.แล้ว สต็อกโฮล์มก็ยังทำได้ไม่ถึงเกณฑ์

เทกเนลล์เผยกับเว็บไซต์เอ็นพีอาร์ว่า อัตราภูมิคุ้มกันของเมืองหลวงสวีเดนไม่ถึง 30%

“แต่อย่าลืมว่าปัญหาอยู่ที่การวัดภูมิคุ้มกันสำหรับไวรัสตัวนี้” เทกเนลล์ชี้แจง

สัปดาห์ก่อน สำนักงานสาธารณสุขสวีเดน เผยข้อค้นพบเบื้องต้นจากการศึกษา "แอนติบอดี" ที่กำลังดำเนินอยู่ พบว่า ปลายเดือน เม.ย. ประชากรสต็อกโฮล์ม 7.3% สร้างแอนติบอดีต้านโควิด-19 แล้ว

เทกเนลล์กล่าวในภายหลังว่า ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่ทางการหวังไว้เล็กน้อย สะท้อนภาพสถานการณ์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น เขาเชื่อว่าขณะที่ให้สัมภาษณ์ประชากรสต็อกโฮล์มที่ติดไวรัสควรเกิน 20% เล็กน้อย เป็นตัวเลขเดียวกับที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีเมื่อกว่า 1 เดือนก่อน

ผลการศึกษานี้ทำให้แนวทางของสวีเดนถูกวิจารณ์มากขึ้น อัตราการเสียชีวิตของสวีเดนอยู่ที่ 39.57 ต่อประชากร 100,000 คน ไม่เพียงแค่สูงกว่าสหรัฐที่อัตรา 30.02 ต่อประชากร 100,000 คนเท่านั้น แต่ยังสูงกว่าเพื่อนบ้านทบเท่าทวีคูณ อัตราการเสียชีวิตของนอร์เวย์ที่ 4.42 ฟินแลนด์ 5.58 ซึ่งทั้งสองประเทศต่างใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด

สถานทูตสวีเดนประจำกรุงวอชิงตันดีซี ชี้แจงต่อเอ็นพีอาร์ว่า รัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขเชื่อว่า ยังเร็วเกินที่จะสรุปให้แน่ชัดหรือเปรียบเทียบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ “เรายอมรับว่ายุทธศาสตร์นี้คุ้มครองคนชราในบ้านพักคนชราไม่ได้”

ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสวีเดนกว่า 4,000 คน เกือบครึ่งเกิดขึ้นในบ้านพักคนชรา

ในสหรัฐ ผู้ที่ประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ลงถนนเรียกร้องให้ทำแบบเดียวกับสวีเดน แต่เนื่องจากความแตกต่างด้านการเมือง สังคม และวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ การทำแบบสวีเดนอาจไม่ได้ผลในสหรัฐ

“ทุกประเทศ ทุกภูมิภาคแตกต่างกัน ทุกประเทศ ทุกภูมิภาคจำเป็นต้องทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ในสวีเดนประชาชนกับรัฐบาลค่อนข้างไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก แน่นอน ถ้าเราเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่น และพวกเขาพบว่ามาตรการที่เราใช้มีประโยชน์ก็เป็นเรื่องดี เพราะเราต่างเผชิญสถานการณ์นี้ด้วยกัน” คาริน โอลอฟส์ดอตเตอร์ เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำสหรัฐ เผยกับเว็บไซต์เอ็นพีอาร์

แอนนิกา ลินด์ นักระบาดวิทยาสวีเดน ผู้เคยดูแลการรับมือไข้หวัดใหญ่และโรคซาร์สระหว่างปี 2548-2556 และเคยสนับสนุนแนวทางของประเทศภายใต้การนำของเทกเนลล์ เป็นขาใหญ่ในวงการสาธารณสุขคนแรกที่วิพากษ์วิจารณ์การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หลังจากเห็นตัวเลขผู้เสียชีวิตในสวีเดนสูงมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์ก นอร์เวย์ และฟินแลนด์

เธอมองว่า เทกเนลล์ผิดตรงที่กล่าวโทษทางการท้องถิ่นและบริษัทเอกชนว่าปล่อยให้บ้านพักคนชราติดเชื้อในอัตราสูง

ความล้มเหลวของสวีเดนส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน่วยงานสาธารณสุขไม่เต็มใจปรับยุทธศาสตร์ที่ต่อยอดจากประสบการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้หวัดสเปน ไข้หวัดใหญ่สุกร มาใช้กับไวรัสโคโรนา

“การเทียบเคียงกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่มากเกินไปอาจทำให้เราตั้งสมมุติฐานผิดตั้งแต่เริ่มแรก เราน่าจะได้พัฒนาการอื่นๆ เช่น ตระหนักถึงความเสี่ยงของการแพร่ระบาดจากผู้ที่ไม่มีอาการ” อดีตมือดีวงการสาธารณสุขสวีเดนให้ความเห็น