‘เฟซบุ๊ค’ เข้มมาตรการ 'สกัดข่าวปลอม'

‘เฟซบุ๊ค’ เข้มมาตรการ 'สกัดข่าวปลอม'

ไตรมาสที่ 1 ลบบัญชีปลอมไป 1.7 พันล้านบัญชี

นอกจากนี้ มุ่งลบข้อมูลปลอมซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกาย ไม่อนุญาตให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกล่าวอ้างผิดๆ ด้านการรักษาโรค สถานที่ที่ให้บริการรักษาโรคและความรุนแรงของโรคระบาด

เฟซบุ๊คเผยว่า ทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 60 ราย ครอบคลุม 50 ภาษา เพื่อตรวจสอบข่าวปลอม ช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. เพิ่มจำนวนพันธมิตรตรวจสอบข่าวปลอมอีก 8 ราย และขยายการครอบคลุมในอีกกว่า 12 ประเทศ

นางสาวชนัญญา คุณวัฒนการ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะ เฟซบุ๊ค ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า แนวทางหลักในการดำเนินงานมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลโควิด-19 โดยเฉพาะ การแจ้งเตือนในหน้าฟีด รวมถึงด้านบนฟีดของเฟซบุ๊คและอินสตาแกรม พร้อมผสานความร่วมมือไปกับผู้พัฒนาแมสเซ็นเจอร์ เพื่อเชื่อมระหว่างองค์กรสาธารณสุขจากภาครัฐและหน่วยงานสหประชาชาติกับบรรดานักพัฒนา 

สำหรับในประเทศไทยมีการริเริ่มพัฒนา “Messenger Bot” ร่วมกับกรมควบคุมโรค เพื่อให้ข้อมูลสำหรับคำถามที่พบบ่อย เคล็ดลับการป้องกันโรคระบาด รายงานสถานการณ์ เครื่องมือตรวจวินิจฉัยด้วยตนเองในเบื้องต้น ฯลฯ

นอกจากนี้ เฟซบุ๊คได้สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสาธารณสุขผ่านโครงการที่หลากหลายเช่น ให้โฆษณาฟรีบนเฟซบุ๊คสำหรับหน่วยงานสาธารณสุขในการต่อสู้กับสถานการณ์โรคระบาดในกว่า 100 ประเทศ ซึ่งรวมถึงกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคของไทย

ขณะเดียวกัน มอบเงินทุนสนับสนุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก จำนวน 3 หมื่นรายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย จัดตั้งศูนย์ข้อมูลสำหรับธุรกิจ และศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา

อย่างไรก็ดี การทำงานในแต่ละประเทศจะมีบริบทที่แตกต่างกันออกไป ในไทยนอกจากการช่วยเหลือด้านศูนย์ข้อมูล แคมเปญพิเศษ อบรมให้ความรู้ คอร์สเรียนออนไลน์ ยังมีโปรแกรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่หลากหลายปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้าถึงผู้ประกอบการมากขึ้นและมีจำนวนโปรแกรมที่มากขึ้น ขณะเดียวกันบางโครงการมีเงินสนับสนุน ซึ่งรวมถึงคูปองสนับสนุนสำหรับการใช้โฆษณาบนเฟซบุ๊คได้ฟรีในบางโครงการ

พร้อมระบุว่า เฟซบุ๊คสังเกตพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพและศักยภาพที่ดีขึ้น พบด้วยว่าเดือนมี.ค.หลายๆ ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรุนแรงมีจำนวนการส่งข้อความถึงกันเพิ่มขึ้นกว่า 50% การโทรด้วยเสียงและวีดิโอบนเมสเซ็นเจอร์และวอทส์แอพเพิ่มขึ้นสองเท่า