เตือนเว็บปลอม!! อย่าดาวน์โหลดแพลตฟอร์มไทยชนะ ผ่านเว็บไซต์

เตือนเว็บปลอม!! อย่าดาวน์โหลดแพลตฟอร์มไทยชนะ ผ่านเว็บไซต์

สธ.ระบุคนไทยใช้บริการวันละ 2 ล้านกว่าคน เสาร์-อาทิตย์เกือบ 3 ล้าน ยืนยันข้อมูลเพื่อสืบสวนป้องกันเท่านั้น เตือนเว็บปลอม อย่าดาวน์โหลดแพลตฟอร์มไทยชนะผ่านเว็บไซต์ เผยคนไทยการ์ดตก ฝากดูแลตัวเองเป็นนิสัย

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม  2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข  นพ.พลวรรธน์  วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กล่าวถึงแพลตฟอร์มไทยชนะว่า จากการเปิดให้มีการใช้บริการแพลตฟอร์มไทยชนะมานั้น ขณะนี้มีการใช้มากกว่า 50 ล้านครั้ง ประชาชนที่ใช้งานกว่า 13 ล้านคน และร้านค้าที่ลงทะเบียน ประมาณ 2 แสนกว่าร้านค้า มีการประเมินต่างๆ 12 ล้านครั้ง

ค่าเฉลี่ยของการประเมิน อยู่ประมาณ 4.93 หมายความว่าประชาชนและร้านค้าได้ดำเนินการตามมาตรการ 5 ข้อต่างๆ เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คนไทยใช้ระบบนี้  วันละประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งในเสาร์อาทิตย์จะมีคนใช้งานมากขึ้น เป็น  2.8 ล้านคน ถึง 2.9 ล้านคนต่อวัน และประมาณ 40%ให้การตอบรับอย่างดี ซึ่งทางกระทรวงดีอีเอส จะนำผลประเมินต่างๆ ไปพัฒนาและปรับปรุงต่อไป เพื่อทำให้มาตรกรนี้ราบรื่น และอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย

“สำหรับกระบวนการลงทะเบียนแพลตฟอร์มไทยชนะ อยากจะเน้นอีกครั้งว่า การที่ทุกคนสแกนใช้งานคิวอาร์โคด อยากให้เข้าไปตรวจสอบว่ามีการยืนยันในอีเมล์หรือไม่  และขอยืนยันว่าข้อมูลที่ใช้ในการทำงานของแพลตฟอร์มไทยชนะนั้น ใช้เพื่อการสืบสวนป้องกันโรคเท่านั้น คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของท่าน และระบบดังกล่าวจะเป็นการรบกวนประชาชนให้น้อยที่สุด ดังนั้น อยากให้ทุกคนใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว หากมีการแพร่กระจายของโรคจะได้รู้ว่าตนเองเสี่ยงหรือไม่อย่างไร ” นพ.พลวรรธน์ กล่าว

ส่วนเรื่องเว็บไซต์จริง และเว็บไซต์ปลอมนั้น หากประชาชนคนใดดาวน์โหลด ถ้าเป็นระบบแอนดรอย์ขอให้ใช้ Google store หรือ Play store แต่ถ้าใช้ไอโฟน ให้ใช้ App store อย่าดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ เพราะอาจจะมีไวรัสได้ หากเผลอดาวน์โหลดไปแล้วก็ขอให้ลบทิ้งโดยไม่ต้องไปกดใช้งานใดๆ ทั้งสิ้น  นอกจากนั้น เรื่อง ของSMS แจ้งเตือนต่างๆ ทางกระทรวงดีอีเอส ไม่มีบริการแจ้งเตือนใดๆ ทั้งสิ้น หากประชาชนได้รับ SMS ขอให้ลบทิ้ง หรือไม่ต้องเข้าไปกดใดๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม  จากการรายงานผลสำรวจของประชาชนในสัปดาห์แรก (4-14 พฤษภาคม) พบว่า78.12%  ดัชนีการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ของประชาชน 57.6%ของประชาชนเคยเห็น ได้ยิน ได้อ่าน ข่าวปลอมในช่วง 1เดือนที่ผ่านมา 35.7% ของประชาชนยังไม่สามารถแยกข่าวจริงและข่าวเท็จ 4.8% ของประชาชนแชร์ข้อความที่เป็นเทศ  และ 83.8% ของผู้ที่แชร์ข่าวเท็จแชร์ทางเฟสบุ๊ค

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับแพลตฟอร์มไทยชนะ สามารถโทรไปสายด่วน 1119 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือร้านค้าต่างๆ ซึ่งในส่วนของร้านค้าขอให้ลงทะเบียน โดยต้องมีชื่อผู้ติดต่อในระบบ มีข้อมูลบัตรประชาชน เบอร์โทร และอีเมลล์ ให้ถูกต้อง

นพ.บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าแพลตฟอร์มไทยชนะจะดูในฝั่งของข้อมูลผู้ลงทะเบียน มีผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ไหน  พฤติกรรมสุขภาพในเชิงปริมาณ แต่ในส่วนของกระมอนามัยนั้นจะดูข้อมูลในเชิงคุณภาพ และได้มีการลงไปตรวจคัดกรองในพื้นที่จริง ซึ่งจากการลงพื้นที่และสำรวจต่างๆ พบว่า  ตอนนี้การ์ดของประชาชนในการป้องกัน ดูแลตนเอง ตกลงทุกเรื่อง ทั้งเรื่องหมั่นตรวจคัดกรองหวัดไข้ตนเอง สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง และการสัมผัสหน้าตัวเอง ซึ่งขณะนี้พฤติกรรมส่วนบุคคลเริ่มตกลง

กรมอนามัยมีข้อมูลเหล่านี้ก็จะทำหน้าที่ กระตุ้นพี่น้องคนไทยได้ปรับพฤติกรรมให้กลับมาเป็นอย่างเดิม เช่นเดียวกับสถานประกอบการ กรมอนามัยจะมีการเข้าไปประเมินสถานประกอบการ ทั้งการประชาสัมพันธ์ การสวมใส่หน้ากากอนามัย/ผ้า มีการวัดไข้ผู้มาใช้บริการ มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ  มีการเว้นระยะห่าง และมาตรการต่างๆว่าสถานประกอบการได้ดำเนินการหรือไม่อย่างไร

นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค  กล่าวว่าการสำรวจด้านพฤติกรรมของประชาชน ซึ่งก่อนผ่อนปรนและหลังผ่อนปรนนั้น ตอนนี้ประชาชนการ์ดตกอย่างมาก อยากเรียกร้องให้ประชาชนกลับมาตั้งการ์ดให้สูงขึ้นเหมือนเดิม

ทั้งนี้ จากการล้างมือด้วยสบู่ ตั้งแต่ 18-23 พฤษภาคม 2563 จำนวน 3,384 ตัวอย่าง  พบว่า หลังเข้าห้องน้ำ 86.9% ก่อน-หลังรับประทานอาหาร 91.9% ก่อน-หลังปรุงอาหาร 71.6% หลังไอ จาม 62.7% หลังสัมผัสลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟท์ 70.9% และไม่ล้างมือ 10% แต่เมื่อเทียบการประเมินใน 4 ครั้งที่ได้ดำเนินการสำรวจ พบว่า การสำรวจครั้งล่าสุดมีการล้างมือที่ลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้น สธ.อยากให้เห็นทุกคนทำเป็นนิสัยทั้งเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัย/ผ้า การล้างมือ การเว้นระยะห่าง เพื่อได้มั่นใจว่าเราจะไม่ติดและไม่เป็นผู้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

นพ.อนุพงศ์ กล่าวต่อว่าสำหรับการเปิดสวนน้ำขณะนี้ยังเป็นสถานที่ห้าม ส่วนการเล่นน้ำที่เป็นน้ำตกซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ  กฎหมายยังไม่ครอบคลุม ถ้าเล่นโดยไม่แออัดมากเกินไปคงไม่เป็นอะไร ส่วนกรณีการใช้บริการร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารในสถานที่ติดแอร์ ถ้าถ่ายเทไม่สะดวกก็อาจจะเป็นการถ่ายเทของเชื้อโรคได้ ดังนั้น ต่อให้มาจากครอบครัวเดียวกัน เมื่อเข้าใช้บริการร้านอาหารก็ควรนั่งแยกกัน  เพื่อไม่ให้มีความสัมผัสใกล้ชิด หนาแน่น หรือมีการพูดคุย มีสารคัดหลั่งออกมา จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน

“ส่วนความคืบหน้าคุณลุงอายุ 72 ปี ที่ไปร้านตัดผม ซึ่งคุณลุงมีอาการป่วยแล้ว และก่อนไปร้านตัดผมได้ไปหลายสถานที่และหลายโรงพยาบาล เพราะคุณลุงป่วยเป็นมะเร็งและเบาหวาน  ซึ่งการติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้นอกจากภูมิคุ้มกันของแต่ละคนสามารถต้านทานโรคได้มากขนาดไหน คุณลุงถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และการที่คุณลุงไปโรงพยาบาล เป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยง จึงไม่สามารถชี้ชัดว่าคุณลุงติดเชื้อจากโรงพยาบาลช่วงไหน แต่ถ้าทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยและไปทำธุระที่โรงพยาบาลเท่าที่จำเป็น  ไปเมื่อเจ็บป่วยต้องไปหาหมอเท่านั้น” นพ.อนุพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มของการมีผู้ป่วยตัวเลขหลักเดียวติดต่อกันมานาน แสดงถึงความสำเร็จของประเทศไทยในรอบแรกแรก แต่ยังไม่สามารถยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้  เพราะยังอยู่ระหว่างผ่อนคลายระยะต่างๆ ซึ่งจากการเรียนรู้จากประเทศอื่นๆ เมื่อจบรอบแรก หากไม่มีการควบคุมดูแลก็นำไปสู่การระบาดรอบ 2 ได้ 

ฉะนั้น ถ้าประเทศไทย ประชาชนไม่นำองค์ความรู้จากประเทศอื่นๆ เมื่อจบรอบแรกก็จะเผชิญกับการเกิดโรครอบที่ 2  ได้เช่นเดียวกัน  สิ่งที่ต้องควบคุมให้ได้ คือ ความไม่ประมาท อย่างไรก็ตาม สธ.ได้วิเคราะห์หากเกิดโรครอบที่ 2 โดยจะมีวิเคราะห์จำนวนผู้ป่วย และการดูแลของสาธารณสุขที่สามารถควบคุมโรค และดูแลพี่น้องประชาชนได้ และกรณีใดที่เอาไม่อยู่ ฉะนั้น สธ.มีการวิเคราะห์สถานการณ์ฉากทัศน์ที่1-3 อยากให้อยู่ประมาณไหนที่ดูแลประชาชนได้